ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้มีการเจริญเติบโตของเงินสกุลเงินในรูปแบบดิจิทัล หรือ Cryptocurrency  “บิทคอยน์” เป็นสกุลเงินดิจิทัลแรกที่เกิดขึ้นและยังเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในตลาดซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล จึงมีนักลงทุนหลายคนเริ่มเห็นโอกาสในการทำกำไร ซึ่งการลงทุนในบิทคอยน์มีหลากหลายวิธีตั้งแต่การซื้อขายในตลาดซื้อ-ขายสกุลเงินดิจิทัลรวมไปถึงวิธีการขุดซึ่งอาจจะดูเหมือนว่าจะเป็นวิธีที่มีต้นทุนการลงทุนที่ต่ำกว่า การขุดคอยน์ก็คล้ายกับการที่เราเข้าไปขุดแร่ในเหมืองแต่เปลี่ยนรูปแบบมาทำในระบบคอมพิวเตอร์แทน ถึงแม้ความเสี่ยงจากความผันผวนของมูลค่าสกุลเงินดิจิทัลจะมีมากเพียงใด แต่ผลประโยชน์และผลกำไรจากการลงทุนในเงินสกุลดิจิตอลที่ถูกมองว่าคุ้มค่าที่ลงทุน แรงจูงใจจากผลประโยชน์ให้เกิดการลงทุนในคอมพิวเตอร์พร้อมระบบทำความเย็นจำนวนมาก เพื่อใช้ในกระบวนการทำเหมืองเงินสกุลดิจิตอล (Cryptocurrencies mining) แม้กระทั้ง เทสลา บริษัทด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมยานยนต์ เน้นด้านการพัฒนาเทคโนโลยีแทนการใช้เชื้อพลิงฟอสซิล ได้เปิดเผยข้อมูลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ว่า บริษัทได้ลงทุนด้วยเงินมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเงินดิจิตอลสกุล บิทคอยน์ และได้เปิดรับการชำระค่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทด้วยเงินดิจิตอลสกุลบิทคอยน์ อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2564 อีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้งบริษัท เทสลา ก็ได้ออกมาเปิดเผยผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ทวิตเตอร์ ว่า   “เทสลาได้ระงับการขายยานยนต์ของบริษัทด้วยเงินดิจิตอลสกุลบิทคอยน์” เนื่องจากเขามีความกังวลเกี่ยวกับการใช้พลังงานฟอสซิลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสำหรับการทำเหมืองเงินสกุลดิจิตอลและการดำเนินธุรกรรมทางการเงินของเงินสกุลดิจิตอล

               ตามการเปิดเผยของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ปริมาณการใช้พลังงานสำหรับการทำเหมืองเงินดิจิตอลสกุลบิทคอยน์ในปัจจุบันคือ 110 เทระวัตต์ ชั่วโมงต่อปี ซึ่งคิดเป็น 0.55 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณการใช้พลังงานของโลก และปริมาณการใช้พลังงานนี้ยังสูงกว่าปริมาณการใช้พลังงานตลอดปีของหลายประเทศ เช่น อาร์เจนตินา ดังแสดงในรูปภาพที่ 1 อีกทั้ง บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอพท์ ยังได้กล่าวถึงการใช้พลังงานของเงินสกุลดิจิตอลว่า “บิทคอยน์ใช้พลังงานไฟฟ้าต่อการทำธุรกรรมทางการเงินมากกว่าการทำธุรกรรมทางการเงินวิธีอื่นๆ

               นอกจากนี้ ปัจจุบันถือเป็นช่วงเวลาเริ่มต้นของการใช้เงินสกุลดิจิตอล ซึ่งทำให้ปริมาณการใช้พลังงานเพื่อทำการทำเหมืองเงินสกุลดิจิตอลมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นและสามารถทำให้เกิดผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น ดังนั้นเพื่อให้ความสมดุลระหว่างการใช้พลังงานของเงินสกุลดิจิตอลกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ควรมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อลดการใช้พลังงานสำหรับการทำเหมืองเงินสกุลดิจิตอลควบคู่กับการออกนโยบายหรือมาตรการสำหรับการใช้เงินสกุลดิจิตอล