โลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศนั้น ส่งผลกระทบเชื่อมโยงต่อ “ทิศทางการพัฒนาประเทศ” ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมี“การปล่อยก๊าซเรือนกระจก”เป็นสาเหตุหลัก ซึ่งประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกจาก การผลิตไฟฟ้า การใช้ไฟฟ้า การใช้น้ำมันในภาคขนส่ง รวมทั้งจากกระบวนการอุตสาหกรรม การเกษตร ปศุสัตว์ ขยะ น้ำเสีย ป่าไม้ และการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน ดังนั้น การลดก๊าซเรือนกระจกจะกระทบกับ“ทุกภาคส่วน”ที่กล่าวถึงข้างต้น ตั้งแต่ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ การค้า การลงทุน ตลอดจน การดำเนินชีวิตของประชาชนทุกผู้คน
การตั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย จึงต้องมีการศึกษาศักยภาพหรือ หาความสามารถในการลดก๊าซเรือนกระจก ของประเทศเราให้ดีก่อนว่า ไทยมีศักยภาพลดก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงาน และภาคการปล่อยอื่นๆ เท่าไหร่บ้าง อย่างไร จากแผนไหน อาทิ แผนบูรณาการพลังงานแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วยแผนย่อย 5 แผน รวมทั้ง แผนคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน แผนแม่บทการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังต้องมีแผนดำเนินการรองรับ ที่สามารถตรวจวัดและตรวจสอบได้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า จะสามารถดำเนินการบรรลุผลการลดก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายที่ประกาศไว้
ในขณะเดียวกัน อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้แบ่งประเทศออกเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ “กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว หรือประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ” ซึ่งเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาปริมาณมากนับแต่อดีต และปัจจุบันเป็นประเทศที่มีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจเติบโตเต็มที่แล้ว ประชาชนอยู่ดีกินดีอย่างทั่วถึงพอสมควร จึงมีความพร้อม และจะต้องเป็นผู้นำลดก๊าซเรือนกระจก ให้น้อยกว่าที่ปล่อยในอดีต ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่ง คือ “กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา” ซึ่งมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นับแต่อดีตค่อนข้างน้อย และยังต้องการการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อความอยู่ดี กินดี ของประชาชน และต่อสู้กับปัญหาความยากจนอยู่ จึงมีความจำเป็นต้องปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นจากอดีต แต่ก็ต้องขอให้เพิ่มในอัตราที่น้อย และตามความจำเป็นเท่านั้น ซึ่งประเทศไทยก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
ประเทศไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา ที่ต้องการความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงต้องพิจารณาให้สมดุลกัน ระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศ หากจะเปรียบเทียบแล้ว ก็เหมือนประเทศไทยเป็นคนอายุ 30 ปี กำลังเติบโต ต้องทำงานหนัก ต้องการการลงทุน มีค่าใช้จ่ายมาก ต้องซื้อบ้าน เตรียมหลักทรัพย์ต่างๆ สำหรับการเติบโต แต่ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำนั้น เหมือนคนอายุ 50 ปี ที่เติบใหญ่ทางเศรษฐกิจแล้ว มีความสมบูรณ์พรั่งพร้อมถึงจุดสูงสุดแล้ว มีบ้าน มีรถหลายคัน ดังนั้น เขาจะทำบุญเท่าไหร่ก็ได้ แต่จะเอาเราไปเทียบกับเขานั้นคงเป็นไปไม่ได้ มิใช่เห็นเศรษฐีเขาทำบุญกันเป็นล้านบาท แล้วเราก็จะอยากจะทำแบบเขาบ้าง ทั้งๆ ที่มีรายได้ห่างไกลจากเขามาก
ดังนั้น แม้จะมีความตั้งใจดี มีศรัทธาที่จะร่วมทำบุญ ก็ต้องไม่เบียดเบียนตัวเอง ทำบุญให้เหมาะสมตามกำลังของตนด้วย การแสดงเจตจำนงมีส่วนร่วมลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ที่จะต้องพิจารณาตั้งเป้าหมาย ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย ในการที่จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และการดำรงชีวิตของประชาชนมากเกินไป