facebook
icon telephoneCall Center02-141-9790
ค้นหา
icon switch languageภาษา
ขนาดตัวอักษร
การแสดงผล
icon line icon youtube icon tiktok
banner_list
  • 1615

ข้อสงสัย ฮาร์วีย์-เออร์มา

25 ก.ย. 60

สื่ออเมริกันยังคงหยิบยกเรื่องพายุเฮอริเคน “ฮาร์วีย์” และ “เออร์มา” เป็นประเด็นถกเถียงอย่างต่อเนื่องถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศว่าเป็นสาเหตุให้พายุทั้งสองลูกนี้มีอานุภาพทำลายล้างอย่างรุนแรงหรือไม่

“ฮาร์วีย์” พัดถล่มรัฐเท็กซัสของสหรัฐทำให้มีผู้เสียชีวิต 82 คน ประเมินค่าความเสียหายอาจจะมากถึง 108,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าหนักสุดในรอบ 12 ปี เป็นอันดับสองรองจากพายุเฮอริเคนแคทรินาพัดถล่มรัฐลุยเซียนา เมื่อปี 2548 เกิดความเสียหายราว 133,000 ล้านเหรียญ นอกจากเศรษฐกิจอเมริกันเกิดความเสียหายอย่างหนักหน่วงแล้ว “ฮาร์วีย์” ยังสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิษอีกด้วย โดยเฉพาะพื้นที่เมืองฮุสตันซึ่งเป็นแหล่งอุตสาหกรรมหนักทั้งโรงงานเปโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมันพบว่าน้ำเอ่อท่วมบ่อบำบัดน้ำเสียไหลปนเปื้อนออกสู่พื้นที่เปิดอย่างน้อย 14 จุด อีกทั้งมีขยะเกลื่อนท้องถนนอีกราว 152 ล้านลูกบาศก์เมตรจะต้องกำจัดออกไป

ส่วนพายุเฮอริเคนเออร์มาพัดกระหน่ำรัฐฟลอริดา ประเมินความเสียหายเบื้องต้น 92,000 ล้านเหรียญ ระหว่างพายุถล่ม ชาวอเมริกัน 6.2 ล้านคนได้รับความเดือดร้อนเพราะไม่มีไฟฟ้าใช้ และยังเกิดเรื่องเศร้า เมื่อผู้สูงวัย 8 คน เสียชีวิตคาบ้านพักคนชราเนื่องจากเครื่องปรับอากาศไม่ทำงาน โดย “เวยน์ แดรช” ผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็น เขียนรายงานในชื่อหัวเรื่องว่า “ใช่เลย ภาวะโลกร้อนทำให้พายุฮาร์วีย์และเออร์มาเลวร้ายอย่างสุดๆ” และบอกว่าถึงเวลาต้องคุยเรื่องความเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศกันแล้ว

นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นว่า ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เช่น ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น อุณหภูมิผิวน้ำทะเลอุ่นขึ้นทำให้พายุมีอานุภาพทำลายล้างอย่างรุนแรงมากกว่าพายุในอดีตช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา โดยผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็นสอบถาม “ฌอน ซับเล็ตต์” นักอุตุนิยมวิทยาของศูนย์ภูมิอากาศ ได้รับคำตอบสั้นกระชับว่า “การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทำให้พายุเพิ่มระดับความรุนแรงอย่างมาก” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า “การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทำให้เกิดความหายนะนั่นเอง” และอธิบายเพิ่มเติมว่า ข้อมูลจำเพาะเจาะจงที่ชี้ว่าภาวะโลกร้อนมีผลทำให้พายุฮาร์วีย์และเออร์มาเพิ่มระดับรุนแรงอย่างไรนั้น ยังไม่มีใครรู้แน่ชัด ต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ หรือเป็นปีๆ เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลมาศึกษาวิเคราะห์

แต่ในมิติวิทยาศาสตร์ เป็นที่รู้ว่า น้ำทะเลมีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นทำให้พายุเฮอริเคนมีระดับความรุนแรงมากขึ้น อุณหภูมิน้ำทะเลขณะนี้มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1-3 องศาฟาเรนไฮต์ สูงกว่าค่าเฉลี่ยในศตวรรษที่แล้ว และน้ำทะเลสูงขึ้น 7 นิ้ว ฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่พายุเฮอริเคนฮาร์วีย์ หอบเอาฝนกระหน่ำเมืองฮุสตันจนจมมิดใต้น้ำ พายุเออร์มาสร้างคลื่นยักษ์และมวลฝนขนาดใหญ่ซัดพื้นที่ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ตลอดแนว 380 กิโลเมตร จากเมืองแจ๊กสันวิลล์ รัฐฟลอริดาไปจนถึงเมืองชาร์เลสตัน รัฐเซาธ์แคโรไลนา

“ฮาร์วีย์” เทฝนทั่วรัฐเท็กซัสและลุยเซียนา วัดระดับปริมาณน้ำฝนได้ 51 นิ้ว ถือเป็นสถิติสูงสุด ในช่วง 6 วันที่พายุลูกนี้แผลงฤทธิ์ ประเมินปริมาณน้ำมีมากถึง 270,000 ล้านแกลลอน

ส่วนเออร์มานั้น เป็นพายุเฮอริเคนรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นนอกอ่าวเม็กซิโกและทะเลแคริบเบียน ความรุนแรงระดับ 5 และรักษาระดับความเร็วลม 297 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตลอดระยะเวลา 37 ชั่วโมง

“โทมัส เรกาลาโด” นายกเทศมนตรีเมืองไมอามี รัฐฟลอริดา บอกซีเอ็นเอ็นถึงความรุนแรงของพายุเออร์มาว่า ถ้าไม่ใช่เพราะความเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ ก็ไม่รู้ว่ามันมาจากสาเหตุอะไรกันแน่

“แดรช” หันไปวิพากษ์วิจารณ์ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐที่มีแนวความคิดแย้งกับนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกรณีนายทรัมป์พูดกลับไปกลับมาไม่อยู่กับร่องกับรอย

เมื่อนักข่าวถามถึงความรุนแรงของพายุเฮอริเคนทั้งสองลูกจะทำให้เปลี่ยนความคิดเรื่องโลกร้อนหรือไม่ “ทรัมป์” ไม่เชื่อเรื่องโลกร้อนบอกว่า “เราเคยเจอพายุลูกใหญ่กว่านี้มาแล้ว” ทว่า ผู้นำสหรัฐคนนี้ให้สัมภาษณ์ก่อนพายุเออร์มาพัดถล่มรัฐฟลอริดาว่าเป็นพายุรุนแรงไม่เคยเห็นมาก่อน

นักวิทยาศาสตร์ย้อนกลับไปพูดถึงภาวะโลกร้อนทำให้พายุลูกใหญ่ขึ้น อย่างเช่น เมื่อเดือนสิงหาคม 2559 พายุถล่มทั่วพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐลุยเซียนา เกิดน้ำท่วมหนัก เมื่อตรวจสอบในช่วงหลายสัปดาห์ก่อนเกิดพายุพบว่า สภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง มีผลต่อความรุนแรงของพายุอย่างน้อย 40 เปอร์เซ็นต์

องค์การบริหารสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐ หรือโนอา ชี้ว่ากิจกรรมของชาวโลกส่งผลต่อพายุเฮอริเคนมีระดับรุนแรงมากขึ้น และสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้เป็นแค่จุดเริ่มต้น ปลายศตวรรษนี้ อาจจะเกิดพายุถี่บ่อยและรุนแรงมากกว่า

“แคทธารีน เฮย์โฮ” ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ภูมิอากาศแห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส เห็นด้วยว่า เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดว่าพายุถล่มฟลอริดาและรัฐเท็กซัสอย่างไร แต่ต้องคุยกันว่าจะหาวิธีการอย่างไรเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศ ซึ่งในสังคมอเมริกันมีทั้งฝ่ายไม่เชื่อเรื่องโลกร้อน อย่างนายทรัมป์ที่บอกว่าโลกร้อนเป็นเรื่องโกหกหลอกลวง

“ซับเล็ตต์” และ “เฮย์โฮ” ผ่านประสบการณ์โต้เถียงกับฝ่ายไม่เชื่อโลก

“คนไม่เชื่อเรื่องโลกร้อนมักจะบอกว่า พายุเฮอริเคนมีอานุภาพทำลายล้างมานานแล้ว อย่างต้นศตวรรษเคยมีเหตุการณ์คล้ายเออร์มาหรือฮาร์วีย์ อากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงนั้น เป็นเรื่องธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งเกิดขึ้นกับผู้อยู่อาศัยริมชายฝั่ง ใครๆ ก็พูดอย่างนี้ได้ แต่ถามว่า ไม่เชื่อแรงโน้มถ่วง ถ้าให้ไปยืนหน้าผา จะกล้ากระโดดกันมั้ย” เฮย์โฮรำลึกประเด็นการโต้เถียง

สำหรับ “แบรนดอน มิลเลอร์” นักอุตุนิยมวิทยา เป็นฝ่ายข่าวอาวุโสของซีเอ็นเอ็นที่ศึกษาเรื่องของภาวะโลกร้อนมากว่าสิบปี ตอบอย่างมั่นใจว่า “พายุฮาร์วีย์และเออร์มาเป็นผลพวงของการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศอย่างแน่นอน” และชี้ว่า อุณหภูมิน้ำทะเลร้อนกว่าอดีต น้ำระเหยสู่ชั้นบรรยากาศโลกมากขึ้น เหล่านี้เป็นแรงผลักให้เกิดคลื่นยักษ์ในทะเล พายุฝนที่รุนแรง

นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศกว่า 300 คน เคยร่วมกันประเมินผลสภาวะภูมิอากาศและนำมารวบรวมเป็นรายงานเมื่อปี 2547 สรุปว่า เฮอริเคนในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือมีความถี่และเพิ่มระดับความรุนแรงตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 และในช่วงทศวรรษนี้ พายุจะรุนแรงระดับ 4 และ 5 แต่มีนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มไม่เห็นด้วยกับข้อสรุปนี้อ้างว่ามีหลักฐานอ้างอิงน้อยไป

“ซับเล็ตต์” แย้งว่านักวิทยาศาสตร์ที่มั่นใจเรื่องความเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ กำลังเดินหน้าหาสาเหตุอะไรที่ทำให้พายุเฮอริเคนมีระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้น ปริมาณฝนมากขึ้นและกระแสลมที่รุนแรงขึ้น

“เรื่องนี้ประชาชนต้องการรู้ นี่เป็นสิทธิของประชาชนที่ควรจะรู้ และควรจะได้คำตอบ ฉะนั้น เราต้องให้ข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องแม่นยำที่สุดเท่าที่จะทำได้”


ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ: https://www.matichonweekly.com