facebook
icon telephoneCall Center02-141-9790
ค้นหา
icon switch languageภาษา
ขนาดตัวอักษร
การแสดงผล
icon line icon youtube icon tiktok
banner_list
  • 851

ความตื่นตัวโลกร้อน : มองโลกมองอาเซียน

06 ธ.ค. 58

ผลเบื้องต้นของการประชุมสุดยอดการเจรจาเรื่องโลกร้อนที่ปารีส (6 ธันวาคม 2015) มีหลายประเด็นที่น่าสนใจและถือเป็นเค้าลางที่ดี หากเปรียบเทียบกับการประชุมที่โคเปนเฮเกน เมื่อปี 2009 (2552) ซึ่งมีประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกโดยเฉพาะสหรัฐไม่ให้ความร่วมมือ ทำให้การประชุม Kyoto Protocol ถัดมาในปี 2011 "ล้มเหลว" ทั้งนี้ สหรัฐซึ่งผลิตก๊าซเรือนกระจกสูงสุดของโลกไม่ลงนามข้อตกลงลดก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมาย ทำให้การลดโลกร้อนที่ผ่านมาไม่สำเร็จเท่าที่ควร แต่ครั้งนี้ (6-11 ธันวาคม 2015) สหรัฐให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยก่อนการประชุม ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ออกแถลงการณ์ถึงแผนการลดโลกร้อนอย่างจริงจังเพื่อให้เป็นของขวัญแก่ชาวอเมริกันและชาวโลก ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ยังได้ออกแถลงการณ์ร่วมกับโอบามา เมื่อเยือนสหรัฐเดือนพฤศจิกายน 2014 ที่จะทำให้การประชุมที่ปารีสประสบความสำเร็จ

ที่ปารีส วุฒิสมาชิกเดโมแครตถึง 10 คน ได้มาร่วมประชุมและแสดงเจตจำนงในการสนับสนุนโอบามาและปกป้องแผนการลดโลกร้อนของเขาในคองเกรสที่สหรัฐ ซึ่งในขณะนี้มีวุฒิสมาชิกรีพับลิกันเป็นเสียงข้างมากอยู่และพวกเขาต่อต้านแผนการลดโลกร้อนของโอบามา ขณะที่จีนซึ่งเคยถูกกล่าวหาว่าเป็นอุปสรรคในการบรรลุข้อตกลงโลกร้อนเมื่อปี 2009 ครั้งนี้ได้แสดงทัศนคติอย่างสร้างสรรค์

โดยตัวแทนของจีนได้แถลงว่า "เราจำเป็นต้องส่งเสริมให้เกิดระบบที่โปร่งใส..และการสร้างความน่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญ"

ความร่วมมือจากประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกทำให้การร่างข้อตกลงเบื้องต้นด้านเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกที่จะต้องมีการลงนามตกลงกันเป็นการต่อไปมีความยาวเพียง21 หน้า เทียบกับ 300 หน้าในปี 2009 ที่สำคัญร่างข้อตกลงเบื้องต้นนี้กำหนดให้มีทางเลือกเป้าหมายที่จะให้อุณหภูมิโลกเพิ่มได้เพียง 1.5 องศาเซลเซียส หรือต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส อย่างมากๆ ซึ่งเป้าหมายนี้มีผู้คัดค้านกันมากโดยเฉพาะซาอุดีอาระเบีย

การเห็นพ้องต้องกันที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวสำคัญอย่างยิ่งยวดในการลดโลกร้อนและปัญหาต่อเนื่องเพราะเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าผลกระทบโลกร้อนสร้างความเดือดร้อนอย่างมากเช่น ชาวเกาะคิริบาสต้อง กลายเป็นผู้ลี้ภัยเนื่องจากเกาะที่เคยพักอาศัย ปัจจุบันได้อยู่ใต้น้ำแล้ว นอกจากนั้นปัญหาความขัดแย้งที่ตะวันออกกลางอาจจะเกิดจากผลกระทบของภัยแล้งส่งผลให้ผู้คนอพยพเข้ายุโรปจนเกิดปัญหามากมายมิใยจะกล่าวถึงผลกระทบต่อความแปรปรวนของอากาศไปทั่วโลกนำไปสู่ปัญหาน้ำท่วมภัยแล้ง อากาศหนาวอย่างรุนแรงผิดปกติ ฯลฯ ก็หวังว่าการตกลงอย่างเป็นทางการในอันดับต่อไปจะราบรื่นกว่าในอดีตด้วย

การประชุมที่ปารีสครั้งนี้มีคนไปร่วมถึง 50,000 คน ทั้งภาครัฐ บริษัทเอกชน เอ็นจีโอ และบุคคลต่างๆ แม้ว่าเหตุการณ์ระเบิดโดยไอซิสซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 130 ศพ ที่ปารีสเพิ่งผ่านไปหมาดๆ แสดงให้เห็นความตื่นตัวของยุโรปและประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ในการร่วมกันแก้ปัญหาโลกร้อน

แล้วกลุ่มประเทศอาเซียนแถบเรามีความตื่นตัวกันแค่ไหน? ความตื่นตัวนี้จะใช้อะไรเป็นตัววัดกันดี?

สถิติที่ยอมรับกันคือการสร้างพลังงานโดยใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ได้จากซากพืชตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ได้แก่น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ สร้างก๊าซเรือนกระจกสูงสุด หากมีการใช้พลังงานทดแทนที่เรียกว่า renewable energy ก็จะลดโลกร้อนลงได้เป็นอย่างมาก ดังนั้น ระดับการใช้พลังงานทางเลือก เช่น พลังงานแสงอาทิตย์จึงน่าจะเป็นตัวชี้วัดระดับความตื่นตัวได้เป็นอย่างดี

เป็นที่น่าสนใจว่า กลุ่มประเทศที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์สร้างไฟฟ้าในระดับสูงๆ กลับเป็นประเทศในเขตหนาวเสียส่วนมาก แต่ในประเทศเขตร้อนที่มีพลังงานแสงอาทิตย์อยู่มาก เช่น ประเทศกลุ่มอาเซียนกลับใช้พลังงานทางเลือกนี้น้อยมาก ประเทศที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์สร้างไฟฟ้าสูงสุดของโลก 5 ประเทศ จากสถิติปี พ.ศ.2556 คือ เยอรมนี จีน อิตาลี ญี่ปุ่น และสหรัฐ ขณะที่อังกฤษไม่ติดอันดับนี้ แต่ ณ ปัจจุบันอังกฤษผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้ถึง 5104 MW ซึ่งสูงกว่าของไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ รวมกัน ทั้งๆ ที่ใครๆ ก็รู้ว่าที่อังกฤษหนาวเหน็บ เต็มไปด้วยหมอกและฝนมากแค่ไหน แม้แต่ฤดูร้อนก็ยังมีฝนตกประจำ

อย่างไรก็ดี ทำไมประเทศแถบเราซึ่งมีแสงแดดแรงแทบทุกวันจึงใช้พลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นประโยชน์ในการสร้างไฟฟ้าและช่วยลดโลกร้อนได้น้อยมาก?บางท่านอาจจะบอกว่าไม่ยากที่จะตอบเลย (1) เพราะเราเป็นประเทศยากจน (2) เรามีปัญหาด้านเทคนิคเพราะระบบผลิตและการกระจายไฟฟ้าของเราไม่สอดคล้องกับการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (3) ผู้เขียนเคยได้ฟังผู้ที่ทำงานในองค์กรผลิตไฟฟ้าของไทย บอกว่า เพราะคุณภาพแสงแดดของบ้านเราไม่ดีเท่าที่ยุโรป

เหตุผลข้อที่ (1) และ (2) พอรับได้แต่ก็แก้ไขได้ด้วยนโยบายสนับสนุน และการแก้ไขทางเทคนิคซึ่งประเทศอื่นๆ เขาแก้ไขกันมาแล้ว แต่เหตุผลที่ 3 ฟังไม่ขึ้นเลย

ยังมีอีก 2 เหตุผลในกรณีแถบบ้านเราซึ่งไม่ค่อยมีการกล่าวถึงกัน คือ (4) พวกเราตื่นตัวกันน้อยเพราะความคุ้นชินกับอากาศร้อน และความแปรปรวนเกิดจากลมมรสุม จึงไม่ค่อยได้สังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงมากเท่าที่ยุโรปซึ่งเผชิญภาวะหิมะละลายและอากาศอุ่นจนเพิ่มจำนวนแมลงและแบคทีเรียต่างๆขณะที่สัตว์ขั้วโลกเหนือลดจำนวนลงอย่างเห็นได้ชัด

อีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญมากกว่าคือ (5) อำนาจขององค์กร/บริษัทที่ผลิตไฟฟ้า ซึ่งในแทบทุกประเทศในอาเซียนมีลักษณะผูกขาดหรือกึ่งผูกขาดโดยมีรัฐบาลของแต่ละประเทศเป็นผู้ลงทุนหลัก ขณะที่ในยุโรปโครงสร้างตลาดไฟฟ้ามีการแข่งขันกันมากกว่านั่นเอง

หากประเทศแถบราจะช่วยลดโลกร้อนให้ได้ผลแล้ว นอกจากจะต้องสร้างทั้งความตื่นตัวแล้ว ยังจะต้องหาทางลดอำนาจผูกขาดหรือกึ่งผูกขาดในภาคพลังงาน/ไฟฟ้าให้ได้อีกด้วย


โดย ผาสุก พงษ์ไพจิตร/มติชนรายวัน 

ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ: http://www.matichon.co.th