เป็นที่ทราบกันดีว่าในโลกการทำธุรกิจต้องมุ่งลดต้นทุน และเพิ่มรายได้ เพื่อเพิ่มกำไรให้กับธุรกิจ ซึ่งแนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่บังคับให้บริษัทต้องลงทุนเพิ่มเพื่อเปลี่ยนธุรกิจตัวเองให้ปล่อยก๊าซที่ทำให้โลกร้อนน้อยลง
.
ในเมื่อการช่วยโลกต้องขัดกับแนวทางการทำธุรกิจขนาดนี้ ทำยังไงถึงจะจูงใจให้บริษัทเหล่านี้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ คำตอบคือต้องทำให้ ‘ก๊าซเรือนกระจก’ กลายเป็น ‘สินค้า’ ที่เรียกว่า ‘คาร์บอนเครดิต’ (Carbon Credit) ที่มีราคาซื้อขายได้ในตลาด และกลายเป็นต้นทุนที่ต้องลด หรือเป็นสินค้าที่ไว้ขายเพื่อเพิ่มรายได้ โดยคาร์บอนเครดิตของแต่ละตลาดซื้อขายในแต่ละประเทศ 1 เครดิต ส่วนมากจะเท่ากับปริมาณคาร์บอน น้ำหนัก 1 ตัน
.
ทั้งนี้ ‘คาร์บอนเครดิต’ กำลังกลายเป็นธุรกิจซื้อขายมลพิษที่มีแนวโน้มทำเงินมหาศาลในอนาคต ถือเป็นกลไกสำคัญในการสร้างพันธกิจ Net Zero เป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการให้ความร่วมมือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผู้ประกอบการรายใด ที่ยังไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซได้ ก็ยังสามารถทดแทนด้วยการซื้อคาร์บอนเครดิต ช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้ผู้ประกอบการในการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมการดูแลสิ่งแวดล้อม ช่วยเพิ่มโอกาสในการแข่งขัน ในตลาดโลก
.
ภาพรวมตลาดคาร์บอนเครดิตโลก
.
สำหรับภาพรวมของตลาดคาร์บอนเครดิตโลก เมื่อปี 2020 มีมูลค่าประมาณ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 12,000 ล้านบาท คาดการณ์ว่า มูลค่าตลาดจะสูงถึง 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 750,000 ล้านบาท ในปี 2030 (พ.ศ.2573) สำหรับประเทศที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดในโลก 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย รัสเซีย และญี่ปุ่น
.
จากสถิติจาก World Resources ระบุว่าสหรัฐปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุดปีละ 5.7 พันล้านตัน อันดับ 2 คือจีน 3.4 พันล้านตัน อันดับ 3 คือ รัสเซีย 1.5 พันล้านตัน ญี่ปุ่น 1.2 พันล้านตัน อังกฤษ 558ล้านตัน ขณะที่ประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 26 ของโลก อยู่ที่ราว 256 ล้านตันต่อปี ซึ่งคิดเป็น 1% ของปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของทั้งโลกที่ถูกปล่อยออกมา ก๊าซเรือนกระจกนี้ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นมาจากภาคการผลิตไฟฟ้าถึง 39% ดังนั้นการซื้อขายคาร์บอนเครดิต จึงเป็นหนึ่งในแนวทางช่วยให้ประเทศตัวการปล่อยก๊าซพิษไม่ต้องถูกลงโทษ
.
ตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตโลกจะเติบโตสูงถึง 15 เท่า ใน 10 ปีข้างหน้า
.
จากงานวิจัยของหลาย ๆ สำนักทั่วโลกต่างคาดการณ์เป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ธุรกิจซื้อขายคาร์บอนเครดิตของโลกจะเติบโตมากถึง 100 เท่า ในปี 2593 อย่างเช่น งานวิจัยของ McKinsey คาดว่าในปี 2573 ความต้องการคาร์บอนเครดิตในตลาดซื้อขายคาร์บอนภาคสมัครใจจะเติบโตถึง 15 เท่า จากปี 2563 จนแตะระดับ 1.5-2 กิกะตันคาร์บอนฯ (GtCO2) ต่อปี และเติบโตมากถึง 100 เท่า จนมาอยู่ที่ราว 7-13 กิกะตันคาร์บอนฯ (GtCO2) ต่อปี ในปี 2593
.
ตัวอย่างองค์กรชั้นนำของโลกที่ซื้อ-ขาย ‘คาร์บอนเครดิต’
.
จากตัวเลขการเติบโตดังกล่าวก็สอดคล้องกับเป้าหมายของเหล่าบริษัทชั้นนำของโลก ที่ทำข้อตกลงร่วมกันในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนลง โดยคาดว่าจะมีการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนมากถึง 140 ล้านดอลลาร์ และจะมีพลังงานหมุนเวียนเกิดขึ้นอีกกว่า 1,600 เมกะวัตต์
.
เริ่มจากบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง ‘Microsoft’ ที่เคยประกาศในปี 2020 จะพยายามลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เหลือศูนย์ภายในปี 2030 นอกจากนี้ Microsoft ยังตั้งเป้าหมายที่จะลดปริมาณคาร์บอนให้เท่ากับปริมาณคาร์บอนที่รับผิดชอบในการผลิตนับตั้งแต่เริ่มดำเนินกิจการในปี 1975
.
ปัจจุบัน บริษัท ‘Microsoft’ ได้หันมาใช้พลังงานทดแทน 100% ในศูนย์ข้อมูล และสำนักงาน ไปจนถึงห้องทดลองต่างๆ โดยบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีได้ซื้อคาร์บอนเครดิตในดินมูลค่า 43,338 เมตริกตัน ซึ่งมาจากการกักเก็บคาร์บอนที่ฟาร์มปศุสัตว์ โดย Microsoft ได้ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อซื้อคาร์บอนเครดิตในดินที่ประเทศออสเตรเลีย โดยจะใช้ระบบ Regen Network ที่สร้างขึ้นบนบล็อกเชนของ Cosmos และการกักเก็บคาร์บอนแบบ CarbonPlus Grasslands ที่ใช้กับฟาร์ม 2 แห่งในนิวเซาท์เวลส์
.
ขณะที่ "คาร์บอนเครดิต" มูลค่า 43,338 เมตริกตันที่ออกให้กับ Wilmot Cattle Co นั้นถูกริเริ่มโดยบริษัท Impact AG ก่อนที่ Microsoft จะเข้าซื้อ โดยได้มีรายงานว่าเจ้าของฟาร์ม Wilmot ได้เพิ่มความเข้มข้นของคาร์บอนอินทรีย์ในดินบนที่ดินของพวกเขาได้ถึง 4.5% ซึ่งทำได้โดยการจัดการเลี้ยงปศุสัตว์ ความเข้มข้นของคาร์บอนอินทรีย์ในดินอยู่ที่ 4% ถึง 6%
.
ทั้งนี้ คาร์บอนเครดิต ถูกใช้เป็นตัวชี้วัดการกักเก็บธาตุคาร์บอนในดิน เป็นกระบวนการจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศและกักเก็บไว้ในดิน สิ่งนี้ทำได้โดยใช้เทคโนโลยีการสำรวจระยะไกลของ Regen Network ที่ขึ้นชื่อว่าได้ช่วยสภาพความเป็นอยู่ของสัตว์ป่า สุขภาพของดินและสุขภาพของระบบนิเวศโดยทั่วไปได้อีกด้วย
.
Google ผู้ซื้อพลังงานสะอาดรายใหญ่ที่สุดในโลก
.
ขณะที่ กูเกิล (Google) บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ไม่แพ้กัน ได้ประกาศความสำเร็จตามเป้าหมายที่เคยระบุไว้ว่า จะหาพลังงานสะอาดมาใช้กับศูนย์ข้อมูล และสำนักงานของตนเองให้ได้ 100 % ภายในปี 2017 ซึ่งเท่ากับว่า ขณะนี้ กูเกิล เป็นผู้ซื้อพลังงานสะอาดระดับองค์กรรายใหญ่ที่สุดของโลก
.
ส่วนเหตุผลทำไมแหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้าถึงสำคัญกับกูเกิลมาก เนื่องจากเฉพาะศูนย์ข้อมูลของกูเกิล 13 แห่ง ใช้พลังงานสิ้นเปลืองมากถึง 5.7 เทราวัตต์ต่อชั่วโมง ทำให้กูเกิล ต้องมองหาพลังงานจากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลมมาเพิ่มเติม ประกอบกับในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา แหล่งพลังงานดังกล่าวมีการปรับลดราคาลง 80 และ 60 % ตามลำดับ ทำให้ต้นทุนด้านพลังงานของกูเกิล ลดน้อยลงไปด้วย
.
ประเทศไทย คาร์บอนเครดิตเติบโตอย่างต่อเนื่อง
.
ส่วนในประเทศไทย ตลาดสมัครใจคือเป็นการซื้อ-ขายที่ไม่มีกฎระเบียบข้อบังคับจากทางภาครัฐโดยความเคลื่อนไหวล่าสุดในเรื่องคาร์บอนเครดิตก็คือ การก่อตั้ง Carbon Markets Club นำโดย กลุ่มบริษัทบางจากฯ พร้อมด้วยความร่วมมือจากบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศไทยมาเข้าร่วม ได้แก่ กฟผ., เครือเจริญโภคภัณฑ์, เชลล์, บีทีเอส กรุ๊ป, เต็ดตรา แพ้ค, บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส ฯ 11 บริษัทนี้ก็มาทำการซื้อ-ขาย คาร์บอนเครดิตโดยมีผู้ขายคือ บริษัท บีซีพีจี และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งมีราคาขายอยู่ที่ 25 บาทต่อ 1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ (tCO2e)
.
และเพียงวันแรกที่เปิดตลาดซื้อ-ขายกันนั้นมีมูลค่ารวม 2,564 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ใหญ่ 298,140 ต้น หรือคิดเป็น 1,491 ไร่ หลายคนสงสัยว่าเงินที่ได้จากการขายคาร์บอนเครดิตถูกนำไปใช้ประโยชน์อะไร คำตอบก็คือ นอกจากจะนำไปใช้ในเรื่องพัฒนาสิ่งแวดล้อมแล้วนั้น เงินอีกส่วนหนึ่งจะถูกนำไปใช้พัฒนากระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นนั่นเอง
.
ราคาซื้อ-ขาย คาร์บอนเครดิต โตต่อเนื่อง
.
องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO ระบุว่า สถานการณ์ตลาดคาร์บอนในต่างประเทศมีผู้เล่นหนักๆ เช่น สหภาพยุโรป หรือ อียูที่เป็นตลาดคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2562 ทำให้ราคาคาร์บอนเครดิตตลาดนี้ มีมูลค่าที่ค่อนข้างสูงเฉลี่ยที่ 2,769 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
.
ในส่วนของประเทศไทย ราคาคาร์บอนเครดิตเฉลี่ย มีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่องโดย ในปี 2561 อยู่ที่ 21.37 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ปี 2562 อยู่ที่ 24.71 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ปี 2563 อยู่ที่ 25.76 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ขณะที่ปี 2564 อยู่ที่ 34.34 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ปัจจุบันปี 2565 ราคาสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดไปอยู่ที่ 107.23 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าหรือประมาณ 3 ดอลลาร์ต่อตันคาร์บอนฯ ขณะที่ราคาคาร์บอนเครดิตในแต่ละตลาดหรือแต่ละมาตรฐานจะมีความแตกต่างกัน ปัจจุบันราคาคาร์บอนเครดิตโลกอยู่ที่ประมาณ 25ดอลลาร์ต่อตันคาร์บอนฯ
.
ขณะที่ฝั่งสหรัฐ เริ่มการซื้อขายช่วงปี 2555 มีราคาซื้อขายเฉลี่ยที่ 1,059 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ส่วนจีน เริ่มซื้อขายไม่นานแต่ก็มีธุรกิจร่วมในภาคสมัครใจกว่า 2,200 แห่ง มีราคาเฉลี่ยที่ 272 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
.
สถานการณ์ซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VER
.
สำหรับสถานการณ์การแลกเปลี่ยน และซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VER ในปัจจุบันนั้น มีปริมาณคาร์บอนเครดิตที่มีการแลกเปลี่ยนและซื้อ-ขาย ไปแล้วประมาณ 750,000 tCO2eq ซึ่งมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 25 บาท/tCO2eq มีราคาต่ำสุดและสูงสุดเท่ากับ 15 บาท/tCO2eq และ 200 บาท/tCO2eq ตามลำดับ
.
โดยในอนาคต TGO ได้มีความร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในการสร้างรูปแบบการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VER ผ่านระบบ Exchange Platform ซึ่งเป็นวิธีการซื้อขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ซื้อและผู้ขายส่งการเสนอซื้อและเสนอขายด้วยคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่นๆ เช่น มือถือ แท็ปเล็ต เป็นต้น ผ่านเข้าไปยังระบบ Exchange Platform โดยที่ระบบ Exchange Platform จะทำการเรียงลำดับและจับคู่สั่งซื้อขายให้โดยอัตโนมัติ โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มทดลองระบบ Exchange Platform ได้ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2564
.
SME จะได้ประโยชน์อะไรในการ ซื้อ-ขาย คาร์บอนเครดิตในโครงการ T-VER
.
มาตรการลดก๊าซเรือนกระจกแบบสมัครใจจะส่งผลดีต่อประเทศไทย คือ นอกจากจะส่งเสริมให้เกิดการถ่ายโอนหรือเรียนรู้เทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานจากต่างประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการ SME สามารถลดต้นทุนการผลิต พร้อมทั้งรักษาขีดความสามารถทางการแข่งขันทางการค้าแล้ว ยังจะส่งเสริมให้สังคมไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง และสามารถสร้างรายได้และก่อให้เกิดการจ้างงานภายในประเทศเพิ่มขึ้น
.
กรณีศึกษาบริษัทที่ประกอบธุรกิจซื้อขายคาร์บอนเครดิตของไทย
.
สำหรับประเทศไทย ธุรกิจการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต เป็นธุรกิจใหม่ที่เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น อย่างเช่น บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ถือเป็นนักลงทุนรายแรกของประเทศไทยที่เข้าสู่ธุรกิจคาร์บอนเครดิต โดยจัดตั้งธุรกิจคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย กับพันธมิตรระดับโลกคือ บริษัท GSI เจ้าของแพลตฟอร์มจัดการธุรกิจซื้อขายคาร์บอนเครดิตด้วยบล็อกเชนรายแรกของโลก ที่มีมูลค่าการซื้อขายกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่อปี เพื่อดำเนินการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าในช่วงแรกจะใช้เงินลงทุนราว 150 ล้านบาท เพื่อนำมาซื้อคาร์บอนเครดิตรวบรวมจากผู้ผลิตขนาดเล็กและขนาดกลาง
.
โดย ออลล์ อินสไปร์ มองว่า ธุรกิจคาร์บอนเครดิต เป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูงถึง 60-70% และมีความต้องการสูงจากตลาดต่างประเทศ ขณะที่ราคาซื้อขายจะอิงจากความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก โดยคาดการณ์ว่าในปี 2565 บริษัทฯ ต้องการบรรลุเป้าหมายปริมาณในการค้าคาร์บอนเครดิต (Trade Carbon credit) ไว้ที่ 1 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า สร้างรายได้ราว 7 ล้านบาท และตั้งแต่ไตรมาสที่ 1/2566 เป็นต้นไป พร้อมขยายธุรกิจไปสู่ Global Market ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจ คาดการณ์ปริมาณการซื้อ-ขายผ่าน Marketplace ของบริษัทฯ โดยตั้งเป้า 5ปี (ปี 2026) เท่ากับ 50.77 ล้านตัน สร้างรายได้ 2.044 ล้านบาท
.
ตัวอย่าง SME ที่ Transform สู่ธุรกิจ Low Carbon
.
อีกหนึ่งตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จของผู้ประกอบการ SME ที่หันมาให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจคาร์บอนต่ำ (Low Carbon) อย่างเช่น บริษัท ไทยเอเซีย ไรซ์ โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวด้วยนวัตกรรม ไร้สารพิษเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเป็นผู้ส่งออกเส้นก๋วยเตี๋ยวข้าวไทยรายใหญ่ของเมืองไทย ที่มุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยแนวคิด ESG โดยคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Sustainability)
.
โดยการนำเทคโนโลยีก๊าซชีวภาพและโซล่าเซลล์ รวมถึงการปลูกป่า มาช่วยในการลดปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยการนำของเสียที่เหลือจากกระบวนการผลิตคือน้ำแป้งวันละ 200,000 ลิตรมาผลิตเป็นก๊าซชีวภาพเพื่อแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าใช้ในโรงงานได้ถึง 2,100 กิโลวัตต์ต่อวัน ซึ่งทำให้บริษัทมีส่วนช่วยลดการใช้พลังงานฟอสซิลและยังทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้าได้ถึงเดือนละกว่า 200,000 บาทเลยทีเดียว ที่สำคัญเป็นการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนได้เป็นอย่างดี
.
โดยมีเป้าหมายในการทำธุรกิจในอนาคต จะปลูกป่าเพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนที่ปล่อยออกไปให้ได้มากกว่าการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนในกระบวนการผลิตของบริษัทซึ่งเทียบกับการปลูกป่า1,300 ไร่ ซึ่งสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 1,235 Ton CO2e ต่อปี ที่เหลือก็จะนำไปขายเป็นคาร์บอนเครดิตต่อไป
.
สะท้อนให้เห็นว่า การดำเนินธุรกิจยุคใหม่ต้องใส่ใจสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย การใช้แนวคิด ESG ในการดำเนินธุรกิจจึงเป็นแนวทางที่ทั่วโลกปรับเปลี่ยนเพื่อการทำธุรกิจที่ยั่งยืนและยังสร้างรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตได้อีกทางหนึ่งในอนาคต ซึ่งถ้าธุรกิจใดไม่ปรับเปลี่ยนจะมีความยากลำบากในการดำเนินธุรกิจหรืออาจจะต้องชดเชยค่าปล่อยคาร์บอนให้กับธุรกิจที่ใช้พลังงานสะอาดซึ่งมีราคาสูงมาก อาจจะไม่คุ้มค่ากับกำไรที่ได้
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจออนไลน์