งานวิจัยเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนล่าสุดที่ได้ตีพิมพ์ใน Nature ชี้ว่า ความคิดของกลุ่มคนที่ปฏิเสธว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกในปัจจุบันเป็นไปตามวัฏจักรของธรรมชาตินั้น เป็นความคิดที่อาจจะไม่ถูกต้อง โดยนักวิจัย เปิดเผยว่า ภาวะโลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันนี้มีสเกลที่ใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตลอดช่วง 2,000 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมนุษย์มีส่วนสำคัญในการทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทีมนักวิจัยได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตลอด 2,000 ปีที่ผ่านมา เช่น ช่วง Medieval Warm Period (ปี 800-1200) ช่วง Little Ice Age (ปี 1300 -1850) รวมถึงช่วงหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 พบว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในปัจจุบันมีรูปแบบไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีต
ตัวอย่างเช่น ในช่วง Little Ice Age ช่วงที่อุณหภูมิต่ำสุดเกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 15 บริเวณตอนกลางและทางภาคตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิก ในขณะที่ช่วงศตวรรษที่ 17 เกิดขึ้นบริเวณทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรปและทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอเมริกาเหนือ ก่อนที่ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 จะกระจายไปยังภูมิภาคอื่นๆ เป็นช่วงที่มีการกระจายตัว (Natural Variability of the Climate) อย่างเห็นได้ชัด
ก่อนที่ 150 ปีต่อมา อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มขึ้นกว่า 1 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับช่วงก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ยังไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการใช้ประโยชน์จากเชื้อเพลิงฟอสซิลมากมายดังเช่นในปัจจุบัน โดยช่วงที่โลกมีอุณหภูมิสูงที่สุดกว่า 98% ของข้อมูลที่พบ เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 20 ความหลากหลายของสภาพภูมิอากาศที่มีการกระจายตัวได้หายไป นับเป็นอีกงานวิจัยที่จะช่วยกระตุ้นเตือนให้ประชากรโลกทุกคนหันมาให้ความสำคัญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง
ที่มาของข่าว: www.thestandard.co