ในประวัติศาสตร์โลกเคยเกิดเหตุการณ์ใหญ่ๆ คือ การสูญพันธุ์เพอร์เมียน-ไทรแอสซิก (Permian-Triassic mass extinction) เมื่อ 252 ล้านปี และอีกครั้ง คือ เมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว ครั้งหลังนี่เองที่กวาดล้างไดโนเสาร์หายไปจากโลก แต่เกิดสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายสายพันธุ์อย่างรวดเร็ว แต่ล่าสุดนักธรณีวิทยาจากวิทยาลัยวิทยาศาสตร์โลกแห่งมหาวิทยาลัยบริสตอลในอังกฤษ ได้เสนอทฤษฎีใหม่ว่าหลังจากสิ้นสุดการสูญพันธุ์เพอร์เมียน ได้เกิดปรากฏการณ์ที่สำคัญ คือ ความร้อนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในน่านน้ำเขตร้อนและในชั้นบรรยากาศ
ในประวัติศาสตร์โลกเคยเกิดเหตุการณ์ใหญ่ๆ คือ การสูญพันธุ์เพอร์เมียน-ไทรแอสซิก (Permian-Triassic mass extinction) เมื่อ 252 ล้านปี และอีกครั้ง คือ เมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว ครั้งหลังนี่เองที่กวาดล้างไดโนเสาร์หายไปจากโลก แต่เกิดสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายสายพันธุ์อย่างรวดเร็ว แต่ล่าสุดนักธรณีวิทยาจากวิทยาลัยวิทยาศาสตร์โลกแห่งมหาวิทยาลัยบริสตอลในอังกฤษ ได้เสนอทฤษฎีใหม่ว่าหลังจากสิ้นสุดการสูญพันธุ์เพอร์เมียน ได้เกิดปรากฏการณ์ที่สำคัญ คือ ความร้อนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในน่านน้ำเขตร้อนและในชั้นบรรยากาศ
นักวิจัยเผยว่า ในช่วงเวลานั้นอุณหภูมิของมหาสมุทรสูงขึ้นราว 10-15 องศาเซนติเกรด เป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนที่มาจากการปะทุของภูเขาไฟขนาดมหึมาในเขตไซบีเรีย เกิดการเผาผลาญคาร์บอนไดออกไซด์เป็นพันๆ ตันลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่เกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อน มีฝนกรด และสูญเสียออกซิเจนจากก้นทะเล ทั้งหมดก่อให้เกิดวิกฤติสิ่งแวดล้อมล้างบางสิ่งมีชีวิตไปถึง 95% จากสายพันธุ์ทั้งหมดในช่วงเวลาดังกล่าว ส่วนสัตว์ที่รอดชีวิตจากวิกฤตการณ์นี้ ต่อมาได้มีการฟื้นสายพันธุ์ขึ้น เช่น สัตว์เลื้อยคลาน แต่ปรากฏว่าพวกมันหลีกเลี่ยงที่จะอาศัยในเขตร้อน เช่นเดียวกับปลาและสัตว์อื่นๆ ในมหาสมุทร
ทีมวิจัยวิเคราะห์ว่า สัตว์เลื้อยคลานอพยพไปทางเหนือประมาณ 10 หรือ 15 องศา เพื่อหนีความร้อนจากเขตร้อน ช่วงนี้จึงเป็นประวัติศาสตร์ที่สำคัญ เพราะเป็นจุดสิ้นสุดของสัตว์โบราณในมหาสมุทรและบนบก แต่เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิตยุคใหม่ในทุกวันนี้ นักวิจัยมองว่ายิ่งค้นคว้าลึกลงไปก็จะช่วยทำให้เข้าถึงผลกระทบที่แท้จริงของภาวะโลกร้อนอย่างรวดเร็ว และอาจเป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต
ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ: https://www.thairath.co.th