ถึงแม้ว่าข้อตกลงปารีสจะยังไม่มีผล จนกระทั่งในปี 2020 แต่ญี่ปุ่น โดยนายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ ออกมาประกาศแล้วว่า จะเร่งพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนก่อนที่จะสายเกินไป
นายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ ของญี่ปุ่น ประกาศโดยการออกแถงการณ์ เมื่อช่วงเช้าวันนี้ ว่าคณะรัฐมนตรีจะให้ความสำคัญสูงสุดกับการพัฒนาเทคโนโลยี่ เพื่อใช้ในการลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดปัญหาโลกร้อน
การประกาศของนายกอาเบะ เกิดขึ้นหลังจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก มีมติรับรองข้อตกลงฉบับใหม่ในการแก้ปัญหาโลกร้อน โดยในแถลงการณ์ฉบับดังกล่าว นายอาเบะ ระบุว่าญี่ปุ่นต้องลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเป้าคือ 26 เปอร์เซ็นต์ โดยการลดต้องไม่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาและตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
นายกรัฐมนตรีอาเบะ ยังระบุด้วยว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหาโลกร้อนมีให้เห็นได้ชัดเจนแล้วที่ญี่ปุ่น และมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาต้องรีบออกมาให้เร็วที่สุดเพื่อลดความเสียหาย
ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ของสหรัฐฯ ออกมาแสดงความชื่นชมที่ประเทศต่าง ๆ สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ และกล่าวด้วยว่าข้อตกลงที่ปารีส เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของโลก เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะรักษาโลกของเรา
ส่วนประเด็นสำคัญ ๆ ที่ตกลงกันที่ปารีส ประกอบด้วย
1.ควบคุมไม่ให้อุณหภูมิพื้นผิวของโลกเกิน 2 องศาเซลเซียส จากระดับในยุคก่อนอุตสาหกรรม (ตอนนี้ขึ้นมาเกือบ 1 องศาแล้ว) และ จะพยายามจำกัดให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียส
2.ให้พิจารณาทบทวนทุก ๆ 5 ปี
3.ทำให้ระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแตะระดับสูงสุดโดยเร็วที่สุด และสร้างความสมดุล
4.ระดมเงินช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาให้เร่งเปลี่ยนจากการใช้พลังงานจากฟอสซิลมาใช้พลังงานสะอาดปีละ 1 แสนล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ นับตั้งแต่ปี 2020 ซึ่งเป็นปีที่ข้อตกลงจะมีผลบังคับใช้ และจะเพิ่มวงเงินอีกในอนาคต ส่วนสิ่งที่จะเกิดต่อจากนี้ไปยังมีอีกมาก ก่อนที่ข้อตกลงฉบับประวัติศาสตร์นี้จะมีผลบังคับใช้
ถึงแม้ว่าข้อตกลงจะได้รับการยอมรับ และไร้เสียงคัดค้านในที่ประชุมที่มีผู้แทนจาก 196 ประเทศ แต่ไม่ได้หมายความว่าทั้ง 196 ประเทศให้การรับรองแล้ว โดยแต่ละประเทศต้องนำข้อตกลงดังกล่าว ให้สภาของตัวเองให้การรับรองรวมถึงในส่วนของประเทศไทยด้วย
และถึงแม้สภาจะให้การรับรองแล้ว ข้อตกลงก็จะยังไม่มีผลบังคับใช้ ถ้ามีการรับรองไม่ถึง 55 ประเทศ และ ต้องเป็น 55 ประเทศ ที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมกัน 55 เปอร์เซ็นต์ของการปล่อยก๊าซทั้งโลก นั่นหมายความว่า หากสภาของประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ของโลก อย่างจีน และ สหรัฐฯ ไม่ให้การรับรอง ข้อตกลงฉบับนี้ก็จะตกไป (จีนปล่อย 24 เปอร์เซ็นต์ สหรัฐฯ ปล่อย 14 เปอร์เซ็นต์ ซึ่ง 2 ประเทศนี้ รวมกันปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็น 38 เปอร์เซ็นต์ ของการปล่อยก๊าซทั้งหมดในโลก)
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของสหรัฐฯ ไม่จำเป็นต้องส่งข้อตกลงนี้ให้กับรัฐสภาอนุมัติ เพราะคำสัญญาที่จะให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงิน ถูกเขียนให้ไม่ต้องมีผลผูกพันตามกฎหมาย
ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ: http://www.krobkruakao.com/