มรภ.สุราษฎร์ธานีจับมือ อบต.ท่าชนะ สำรวจแนวปะการังในอ่าวท่าชนะ หลังพบเป็นแนวปะการังขนาดใหญ่กว่า 100 ไร่ แต่กลับเกิดการฟอกขาวจำนวนมากจากภาวะโลกร้อน เตรียมประสานกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งร่วมเยียวยา หวังฤดูฝนช่วยแนวปะการังฟื้นตัว
เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 59 มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ร่วมกับ อบต.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี และผู้สื่อข่าวจำนวนหนึ่ง ได้เดินทางไปสำรวจแนวปะการังแห่งใหม่ที่เพิ่งค้นพบ บริเวณอ่าวท่าชนะ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี โดยพบว่า เป็นแนวปะการังขนาดใหญ่ กินพื้นที่ร่วม 100 ไร่ จาก อ.ท่าชนะ ไปจนถึง อ.ละแม จ.ชุมพร แต่เกิดปะการังฟอกขาวจำนวนมาก เนื่องมาจากสภาวะโลกร้อน
นายธรรมรัตน์ วาจาสัตย์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรภ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ปะการังฟอกขาวเป็นผลจากภาวะโลกร้อน ทำให้น้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้น จนปะการังไม่สามารถปรับตัวได้ ส่งผลให้ปะการังเหล่านี้มีสีซีดลง
“ปะการังจะดำรงชีวิตแบบพึ่งพาอาศัยกับสาหร่ายเซลล์เดียวขนาดเล็ก โดยสาหร่ายจะอาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อชั้นในของปะการัง ทำหน้าที่สังเคราะห์แสง สร้างพลังงานและมีรงควัตถุ สร้างสีสันให้กับปะการังที่มันอาศัยอยู่ เมื่ออุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น ปะการังจึงปรับตัวโดยการขับสาหร่ายออกมา ทำให้ปะการังสูญเสียรงควัตถุที่จะสร้างสีสัน” นายธรรมรัตน์ กล่าว
นายณัฐพล เมฆแดง หน.สาขาวิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ มรภ.สุราษฎร์ธานี กล่าวเพิ่มเติมว่า ถ้าอุณหภูมิที่สูงขึ้นกินระยะเวลานานปะการังอาจตายได้ แต่ถ้าอุณหภูมิกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ปะการังบริเวณนี้ ก็จะฟื้นตัวกลับมามีสาหร่ายเกาะ และจะค่อยๆ มีสีสันขึ้นมาได้อีกใน 1-2 สัปดาห์ อาทิตย์ที่ผ่านมาเข้าสู่ฤดูมรสุม มีฝนตกแทบทุกวัน อุณหภูมิน้ำทะเลเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ จึงหวังว่าปะการังฟอกขาวจะไม่ขยายวงออกไปมากกว่าเดิม แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะฟื้นตัวได้มากน้อยแค่ไหน
“ขณะนี้ มรภ.สุราษฎร์ธานี ได้ประสานกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาแล้ว ในขณะเดียวกันก็ต้องการความร่วมมือจากคนในพื้นที่และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นด้วย พื้นที่ดังกล่าวมีแนวโน้มจะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ในอนาคต ต้องมีการจัดการอย่างรัดกุม เพื่อให้เป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ไม่ทำลายระบบนิเวศ แต่ก่อนอื่นต้องช่วยกันทำให้แนวปะการังดังกล่าว พ้นภาวะวิกฤตนี้ไปให้ได้เสียก่อน” นายณัฐพล กล่าว
ด้าน นายถาวร ไม้โภคา นายก อบต.ท่าชนะ กล่าวว่า แนวปะการังดังกล่าวเคยมีความสมบูรณ์มาก เป็นแหล่งที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ หากจะพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวก็ต้องเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศคือ มีการให้ความรู้เชิงอนุรักษ์แก่นักท่องเที่ยวด้วย ต้องเป็นการท่องเที่ยวที่กระตุ้นให้เกิดจิตสำนึกในการรักษา ไม่ใช่การทำลาย
ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ http://www.manager.co.th