วันที่ 9 พฤษภาคม 2565 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายเกออร์ก ชมิดท์ เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย รวมทั้งนางสาวลิโอบา ดอนเนอร์ ผู้แทนกระทรวงเศรษฐกิจและการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (BMWK) ตลอดจนคณะผู้บริหาร ทส. และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO ลงพื้นที่เยี่ยมชมแปลงนาและการสาธิตการทำนาที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ “โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทำนาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Thai Rice NAMA)” โดยมี นายณัฐภัทร สุวรรณประทีป ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี และ ดร.อภิชาติ พงษ์ศรีหดุลชัย ที่ปรึกษาอธิบดีกรมการข้าว ให้การต้อนรับและร่วมให้ข้อมูล ณ กลุ่มนาแปลงใหญ่ อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี
โครงการ Thai Rice NAMA มุ่งพัฒนายุทธศาสตร์ตลาดข้าวที่ยั่งยืน พร้อมส่งเสริมเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการทำนาลดโลกร้อนให้แก่เกษตรกรตามมาตรการ “3 เพิ่ม 3 ลด” คือ เพิ่มผลผลิตข้าว เพิ่มคุณภาพข้าว เพิ่มรายได้ ลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้น้ำ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและภาวะโลกร้อน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนให้กับเกษตรกรไทย โดยใช้เทคนิคการปรับระดับหน้าดินด้วยระบบเลเซอร์ (Laser Land Leveling -LLL) ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยี 4 ป. หลักสำคัญของการทำนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งประกอบด้วย การปรับระดับหน้าดินด้วยเลเซอร์ การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง การจัดการปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน และการแปรสภาพฟางข้าวและจัดการตอซังแบบปลอดการเผาเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งนี้การปรับระดับหน้าดินด้วยระบบเลเซอร์เป็นเทคโนโลยีหลักที่จะสนับสนุนให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้นในการปฏิบัติเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น ลดการใช้น้ำและค่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้สูบน้ำด้วยการจัดการน้ำแบบเปียกสลับแห้ง ลดอัตราการสูญเสียปุ๋ยและข้าวได้รับปุ๋ยสม่ำเสมอทั่วกันทั้งแปลงนาจากการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน
เทคนิคการทำนาลดโลกร้อนที่โครงการ Thai Rice NAMA ได้ถ่ายทอดความรู้ให้กับเกษตรกรยังสอดคล้องกับ “ข้อตกลงกลาสโกว์” ในการประชุม COP26 ที่เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร ซึ่งประเทศไทยได้ประกาศเจตจำนงในการเข้าสู่สถานะความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี พ.ศ. 2593 และมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2608 โดยผลจากการดำเนินงานในช่วงปี พ.ศ. 2561 - 2564 พบว่า มีเกษตรกรได้รับประโยชน์จากโครงการกว่า 25,000 คน สามารถลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากนาข้าวได้กว่า 305,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า