“ถ้าต้องการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นอีก 2 องศาเซลเซียส ภายในศตวรรษนี้เราต้องเร่งกระบวนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยเร็วที่สุด” คำเตือนของคณะนักวิจัยแห่งอังกฤษ ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ ซึ่งเว็บไซต์ไซเอ็นซ์เดลี่ (ScienceDaily) นำมาเรียบเรียงเผยแพร่เมื่อเร็วๆ นี้
คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยซัสเซก มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์และมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ดร่วมทำงานด้วยกัน เห็นพ้องว่าโลกจะต้องเปลี่ยนแปลงระบบไฟฟ้า พลังงานความร้อน การสร้างตึกอาคาร อุตสาหกรรม การเกษตรและการขนส่งไปพร้อมๆ กัน นั่นหมายถึงแนวโน้มอนาคตชาวโลกภายในไม่เกิน 35 ปีข้างหน้าจะต้องร่วมผนึกกำลังปรับปรุงประสิทธิภาพระบบพลังงานทั้งหมด แหล่งผลิตพลังงานต้องปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ต่ำที่สุด รถยนต์ทั่วโลกต้องใช้พลังงานไฟฟ้า
นักวิทยาศาสตร์มองว่าแม้ทั่วโลกพัฒนากระบวนการผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานหมุนเวียนในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ยังเป็นไปอย่างช้าๆ เนิบนาบไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศที่เป็นไปอย่างเลวร้ายคุกคามโลกในขณะนี้ และมีข้อสรุปว่าต้องใช้ 4 กระบวนการ เพื่อพลิกโลกเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืนจนสามารถรับมือกับมหันตภัยที่รออยู่ข้างหน้า
กระบวนการแรก การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและสังคม (sociotechnical) เน้นพัฒนาเทคโนโลยี “คาร์บอนต่ำ” ควบคู่กับการนำเครื่องมือทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม เข้ามาเชื่อมร้อยเรียงเป็นหนึ่งเดียวกัน
กระบวนการที่ 2 เร่งคิดค้นนวัตกรรมและระบบใหม่ๆ ขับเคลื่อนให้สังคมคาร์บอนต่ำเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว กรณีตัวอย่างได้แก่ การปฎิวัติการขุดเจาะก๊าซ (shale gas) โดยสหรัฐใช้นวัตกรรมไฮดรอลิก แฟร็กเจอริ่ง (hydraulic fracturing) หรือแฟร็กกิ้ง (fracking) ขุดเจาะก๊าซหรือน้ำมันในชั้นหินดินดานที่อยู่ลึกลงไปใต้เปลือกโลก ซึ่งนวัตกรรมแฟร็กกิ้ง นำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ตามมา เช่น เทคโนโลยีการเจาะชั้นหินดินดานในแนวราบ (horizontal drilling) การตรวจวัดชั้นหินด้วยคลื่นสั่นสะเทือน (seismic imaging) ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวนี้นำมาเทียบเคียงการคิดค้นนวัตกรรมด้านพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานชีวภาพ นำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีการกักเก็บพลังงาน การพัฒนาแผงโซลาร์เซลล์
ศาสตราจารย์พอล เอ็กกินส์ ผู้อำนวยการสถาบันทรัพยากรธรรมชาติเพื่อความยั่งยืนแห่งมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน ให้ความเห็นว่า กุญแจสำคัญในการสร้างสังคมคาร์บอนต่ำคือการเน้นความเท่าเทียมระหว่างเทคโนโลยี สังคม ธุรกิจ นโยบายนวัตกรรม ทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชนต้องร่วมมือกัน
“กลุ่มสหภาพยุโรปจะกลายเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ ไม่เพียงแค่เรื่องเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำเท่านั้น หากยังเกิดการพัฒนารูปแบบธุรกิจใหม่ๆ เกิดแรงขับด้านการบริโภคอย่างยั่งยืน และนโยบายภาครัฐกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้”
กระบวนการที่ 3 เรียกร้องให้ภาคสังคมและภาคธุรกิจสนับสนุนซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงมาก เร่งใช้นโยบายคาร์บอนต่ำ เช่น ภาคสังคม ภาคธุรกิจออกแคมเปญรณรงค์เจ้าของอาคาร ปรับปรุงอาคารเพื่อประหยัดพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนสายไฟ รื้อออก หลอดไฟนีออนเก่าๆ ใส่หลอดแอลอีดีเข้าไป หรือปรับปรุงเครื่องปรับอากาศ เครื่องทำความร้อน มีการตรวจเช็กอย่างต่อเนื่อง แคมเปญเช่นนี้จะช่วยให้เกิดการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ
เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม เปลี่ยนเครื่องจักรที่ใช้พลังงานสิ้นเปลือง ปล่อยควันพิษอันตราย ปลุกให้เกิดการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นักธุรกิจวางกลยุทธ์โฆษณาประชาสัมพันธ์ชักชวนให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าที่ไม่ทำร้ายธรรมชาติ เปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ในการบริโภค ซื้ออย่างพอเพียง ไม่กักตุนและนำมาใช้หมุนเวียนให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นักการเงินการธนาคาร คิดหานวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำๆ ให้กับกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ปลอดสารพิษและส่งเสริมสนับสนุนทุนให้กับกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างกระแสสังคมใหม่ ซึ่งอุตสาหกรรมรถยนต์ก็เร่งคิดค้นวัสดุที่ใช้ในการผลิตรถพลังงานไฟฟ้าในราคาถูก และสนับสนุนให้คนหันมาใช้รถที่ปลอดควันพิษมากขึ้น
กระบวนการที่ 4 ภาครัฐออกกฎหมายควบคุมเทคโนโลยีปล่อยก๊าซพิษ ภาคเอกชนสนับสนุน ยกตัวอย่าง กรณีรัฐบาลอังกฤษ ออกกฎหมายอากาศสะอาด เมื่อปี 2509 เพื่อควบคุมโรงงานอุตสาหกรรมปล่อยก๊าซพิษ และสนับสนุนให้เมืองต่างๆ สร้างเขตปลอดคาร์บอนไดออกไซด์ เลิกใช้ถ่านหิน อีกกรณี คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป กำหนดนโยบายการใช้หลอดไฟแอลอีดี หลอดคอมแพ็กฟลูออเรสเซนต์ประหยัดไฟแทนหลอดไส้รุ่นเก่าๆ เมื่อปี 2552 นอกจากนี้ ยังมีตัวอย่างรัฐบาลอังกฤษและรัฐบาลฝรั่งเศส ประกาศแผนยกเลิกรถใช้เครื่องยนต์เบนซินและดีเซล ในปี 2583 รวมถึงรัฐบาลอังกฤษมีนโยบายห้ามใช้ถ่านหินผลิตพลังงานความร้อนในปี 2568
ถ้าภาครัฐเอาจริง ภาคสังคมและภาคธุรกิจมองประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง หั่นผลกำไรและลดความเห็นแก่ตัวลง ชาวโลกก้าวข้ามปัญหาโลกร้อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำได้อย่างแน่นอน
ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ: https://www.matichonweekly.com