การเมืองโลกกลายเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้มากขึ้นตั้งแต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาและประกาศแนวทาง "อเมริกาต้องมาก่อน" ที่ สร้างความตระหน2018-01-18กตกใจให้ชาติพันธมิตร และทำให้ประเทศคู่อริต้องแปลกใจ แต่เขาทำให้ โลกทุกวันนี้มีอันตรายมากกว่าเดิมหรือเปล่า?
การเมืองโลกกลายเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้มากขึ้นตั้งแต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาและประกาศแนวทาง "อเมริกาต้องมาก่อน" ที่ สร้างความตระหนกตกใจให้ชาติพันธมิตร และทำให้ประเทศคู่อริต้องแปลกใจ แต่เขาทำให้ โลกทุกวันนี้มีอันตรายมากกว่าเดิมหรือเปล่า?
นับว่าไม่ หากเราพิจารณาถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ทรัมป์อาจสร้างความวุ่นวายและหวาดกลัวจากการทวีตข้อความที่หุนหันและเอาแน่ เอานอนไม่ได้ แต่เขายังไม่เคยลงมือโจมตีชาติพันธมิตรที่เขาวิพากษ์วิจารณ์ เขายังไม่ทำให้ เกิดสงครามครั้งใหม่ และถ้าจะดูกันโดยรวมแล้ว ทรัมป์ก็ยังขับเคลื่อนประเทศไปในทาง เดียวกันกับนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนก่อน
แต่ผู้นำคนนี้ทำให้โลกเราใกล้จุดวิกฤตเข้าไปทุกทีหรือเปล่า?
นี่คือ 7 ประเด็นน่าขบคิดตลอดช่วงการบริหารประเทศของทรัมป์ที่ผ่านมา
ชัยชนะในตะวันออกกลาง
ตั้งแต่ทรัมป์เริ่มเข้ารับตำแหน่ง กลุ่มที่เรียกตัวเองว่ารัฐอิสลาม หรือไอเอส พบแต่กับ ความพ่ายแพ้ ไม่ว่าจะเป็นที่อิรัก หรือซีเรีย
"รัฐกาหลิบ" (Caliphate) ของกลุ่มถูกทำลาย และสมาชิกที่เหลืออยู่ก็ต้องรอนแรม หลบหนี
แม้ว่ากลุ่มไอเอสจะขยายเครือข่ายไปที่อื่น ๆ ในโลก และยังสร้างอิทธิพลให้เกิดความ รุนแรงอย่างสุดโต่ง แต่ "เส้นเลือดใหญ่" ของกลุ่มได้ถูกตัดขาดแล้ว
เราอาจจะมองว่าความสำเร็จนี้เป็นความดีความชอบของทรัมป์ หรือเขาอาจจะแค่ สานต่อนโยบายที่โอบามาเป็นคนริเริ่มไว้ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนกองกำลังในพื้นที่ การ โจมตีด้วยระเบิดทางอากาศ และการส่งกองกำลังปฏิบัติการพิเศษไปในพื้นที่
แต่สิ่งที่แตกต่างคือทรัมป์ให้อำนาจสั่งการเหล่านี้กับผู้บังคับบัญชากองทัพสหรัฐฯ มาก ขึ้น ซึ่งนายเบร็ตต์ แมคเกิร์ค ผู้แทนพิเศษของสหรัฐฯ ด้านความร่วมมือโลกเพื่อต่อต้านกลุ่ม ไอเอส ซึ่งได้ทำงานกับประธานาธิบดีทั้งสองคน บอกว่านั่นเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่าง อย่างมาก
ไม่ว่าเราจะถือว่านี่เป็นผลงานของใครมากกว่ากัน แต่มันก็เกิดขึ้นในสมัยของทรัมป์ และอาจกล่าวได้ว่าเป็นความสำเร็จด้านนโยบายต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของทรัมป์
อิหร่าน
สหรัฐฯ และประเทศมหาอำนาจอีก 5 ประเทศสามารถลดความเสี่ยงภัยจากระเบิด ปรมาณูของอิหร่านได้ด้วยการบรรลุข้อตกลงให้อิหร่านจำกัดโครงการการพัฒนาอาวุธ นิวเคลียร์
มองโดยรวมแล้ว ข้อตกลงนี้กำลังไปได้ดี แต่ทรัมป์มองว่ายังมีข้อบกพร่องที่ต้องได้รับ การแก้ไขอยู่มาก โดยเขาขู่ว่าจะถอนตัวจากข้อตกลงนี้หากชาติมหาอำนาจในยุโรปไม่ใช้ มาตรการบีบบังคับที่แข็งกร้าวกว่าเก่า
ทรัมป์อยากให้จำกัดโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านอย่างถาวร ให้ควบคุม โครงการพัฒนาขีปนาวุธมากขึ้น และจัดการกับอิทธิพลที่ "เลวร้าย" ของอิหร่านในภูมิภาค ตะวันออกกลาง เช่น การสนับสนุนการทำสงครามตัวแทนในภูมิภาคซึ่งเป็นภัยต่อชาติ ตะวันตกที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ
ชาติยุโรปเห็นด้วยว่าต้องแก้ไขเรื่องเหล่านี้ แต่ต้องทำโดยไม่ให้ส่งผลเสียต่อข้อตกลงที่มี อยู่แล้ว เพราะนั่นจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในยุโรป
หากข้อตกลงนิวเคลียร์นี้พังลง ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดอันตราย 3 ประการ
หนึ่ง ตะวันออกกลางจะระส่ำระสายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจาก การที่ทรัมป์สนับสนุนชาติคู่แข่งของอิหร่านอย่างซาอุดีอาระเบีย สอง ความสัมพันธ์ของ ชาติสองฟากฝั่งแอตแลนติก ซึ่งเป็นเสาหลักของความมั่นคงโลกตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จะอ่อนแอลง และสาม อาจทำลายสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นพื้นฐาน ของข้อตกลงจำกัดการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน
สงครามนิวเคลียร์กับเกาหลีเหนือ
นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ทำให้โลกอันตรายมากขึ้นด้วยการพัฒนาอาวุธ นิวเคลียร์และขู่โจมตีสหรัฐฯ แต่ทรัมป์เองก็ทำให้สถานการณ์แย่กว่าเดิมด้วยการตอบโต้ ด้วยวาจาอันร้อนแรงและยั่วยุ
ท่าทีของทรัมป์เปลี่ยนไปมาระหว่างการขู่โจมตี และแสดงความตั้งใจที่จะพูดคุยเจรจา เช่น ณ ขณะนี้ สหรัฐฯ ยอมปล่อย "ตามน้ำ" ให้เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้พัฒนาความ สัมพันธ์ผ่านการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว
รัฐบาลของทรัมป์ได้สร้างความร่วมมือในระดับนานาชาติที่แข็งแกร่งในการใช้นโยบาย กดดันเกาหลีเหนือให้เลิกล้มโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
จอห์น เนโกรปอนเต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ สมัย ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช บอกว่า การร่วมมือกับนานาชาติดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ทรัมป์พยายามทำให้โลกปลอดภัยขึ้น
ในขณะที่แพทริค โครนิน ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชีย ประจำศูนย์เพื่อความมั่นคงอเมริกัน ใหม่ บอกว่า การดำเนินนโยบายที่เสี่ยงต่อสงครามของทรัมป์ตอบโจทย์ เนื่องจากผู้นำ เกาหลีเหนือคิดว่าสหรัฐฯ จะไม่ใช้กำลัง และสิ่งที่ทรัมป์ทำเป็นการกดดันในแบบที่ "ถูก ต้อง"
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯ ขู่โจมตีประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์นับตั้งแต่ วิกฤติการณ์ขีปนาวุธคิวบาเมื่อปี 1962
คืนกลับสู่สงครามเย็น
นายวิลเลียม เพอร์รี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในสมัยประธานาธิบดีบิล คลินตัน บอกว่า มีความเสี่ยงที่สถานการณ์จะย้อนกลับไปเป็นแบบสมัยสงครามเย็นอีก และความ เป็นปรปักษ์ระหว่างสองประเทศทำให้เกิดความตึงเครียดในเชิงภูมิศาสตร์การเมืองขึ้นมา ใหม่ ทั้งสองฝ่ายต่างก็พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงทางการทหารแบบยุค นั้นอีก
แต่นี่ก็ไม่ใช่ความผิดของทรัมป์เสียทีเดียว
ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย เพิ่มความตึงเครียดด้วยการเข้าไปแทรก แซงในยูเครน และในสมัยของโอบามา ประธานาธิบดีทั้งสองก็ไม่ได้มีการพูดคุยเจรจาที่ สร้างความเปลี่ยนแปลงสำคัญอะไร
ทรัมป์อยากจะเจรจากับปูติน และอาจจะอยากมากเกินไปด้วยซ้ำ แต่เขาไม่สามารถคุย ได้เนื่องจากมีประเด็นที่เป็นข้อถกเถียงกันอยู่ในเรื่องที่ว่ารัสเซียได้เข้าแทรกแซงและช่วยให้ เขาชนะการเลือกตั้ง
ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ จึงกลายเป็นแย่กว่าสมัยประธานาธิบดีโอบามา เสีย อีก
การทูตถดถอย
ท่าทีของทรัมป์ทำให้เห็นชัดเจนว่าเขาชอบพวกนายพลมากกว่านักการทูต
เขาเป็นผู้เสนอให้ตัดงบประมาณกระทรวงการต่างประเทศ และทำให้ฝ่ายการทูตมี อิทธิพลน้อยลงเมื่อต้องตัดสินใจในประเด็นความมั่นคงของชาติ การเกิดวินาศกรรม 11 กันยายน เป็นจุดเริ่มต้นของการทำให้ทหารเข้ามามีบทบาทในนโยบายต่างประเทศของ สหรัฐฯ มากขึ้น แต่เป็นทรัมป์ที่ผู้ขับเคลื่อนกระบวนการนี้
ดูเหมือนเขาไม่เข้าใจและไม่สนใจเรื่องของการทูตมากนัก
มีครั้งหนึ่งที่นักข่าวถามเขาว่าจะทำเช่นไรกับตำแหน่งในกระทรวงต่างประเทศที่ยัง ว่างอยู่ ทรัมป์ตอบว่า เขาเป็นเพียงคนเดียวที่มีความสำคัญ และนั่นก็คือนโยบาย
การทูตนั้นก็เหมือนกับการดูแลรักษาร่างกาย มันคือการแก้ไขปัญหาก่อนที่ปัญหานั้น จะกลายเป็นสงคราม
หากทรัมป์อยากจะ "ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง" เขาต้องไม่ลืมว่าความสำเร็จด้าน นโยบายต่างประเทศหลายครั้งในอดีตเป็นกระบวนการทางการทูต ไม่ว่าจะเป็น แผนการ มาร์แชล (Marshall Plan) ซึ่งเป็นโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจยุโรป ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ของสหรัฐฯ และความตกลงสันติภาพระหว่างอิสราเอลกับอียิปต์ เมื่อปี 1979
ในขณะที่นโยบายต่างประเทศที่ใช้วิธีการทางทหารของสหรัฐฯ ทำให้นึกถึงสิ่งที่เกิด ขึ้นทั้งในเวียดนามและอิรัก
ลดบทบาทเวทีโลก
สหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของทรัมป์ถอนตัวจากข้อตกลงต่าง ๆ ที่เป็นการร่วมมือ ระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาในระดับโลก
และการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด คือ การถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการ เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
จริงอยู่ที่กระบวนการถอนตัวจากข้อตกลงนี้ต้องใช้เวลา 4 ปี และปัจจัยอื่นๆ จะลดผล กระทบนี้ เช่น รัฐต่างๆ ของอเมริกาและบริษัทต่างๆ ที่จะดำเนินนโยบายเพื่อลดมลภาวะ ทางอากาศต่อไป แต่สหรัฐฯ ก็จะมีบทบาทในการแก้ไขปัญหานี้น้อยลงจากเดิมมาก
มองโดยภาพรวมแล้ว แนวทาง "อเมริกาต้องมาก่อน" ของทรัมป์ดูเหมือนจะมุ่งทำให้ กลุ่มพันธมิตรและองค์กรต่างๆ ที่ช่วยรักษาความมั่นคงในโลกตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ต้องเสียกระบวน
หรืออย่างน้อย ก็แค่ลดบทบาทในการเป็นผู้นำของกลุ่มต่างๆ เหล่านี้ที่สหรัฐฯ เคยเป็น มาตลอด
ในขณะที่ เดวิด อิกเนเชียส จาก นสพ.วอชิงตันโพสต์ บอกว่า อิทธิพลของสหรัฐฯ จะ ยืนยาวกว่าสมัยการบริหารประเทศของทรัมป์
ริชาร์ด ฮาสส์ จากสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสหรัฐฯ มองว่า ไม่มีประเทศ มหาอำนาจอื่นที่จะสามารถแทนที่สหรัฐฯ ได้ และความมั่นคงนานาชาติก็จะลดน้อยลงหาก ไม่มีสหรัฐฯ เป็นผู้นำ
พึ่งไม่ได้ คาดเดาไม่ได้
เราอาจจะพูดได้ว่าสิ่งที่ขับเคลื่อนทรัมป์คือ ลักษณะนิสัยที่หุนหันพลันแล่นของเขาเอง มากกว่าการสร้างแนวทางให้ "อเมริกาต้องมาก่อน"
นี่ทำให้นโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ ดำเนินไปอย่างติดๆ ขัดๆ แทบจะตลอด เห็นได้ จากทวิตเตอร์ของทรัมป์ และการไปขัดเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเขาเอง
ผู้สนับสนุนของทรัมป์อาจจะเถียงว่าทวิตเตอร์ของเขาเป็นเครื่องมือในการต่อรองใน เวทีนานาชาติ หรือบอกว่าไม่ต้องไปใส่ใจกับข้อความของเขาเพราะเขาแทบจะไม่ทำตาม สิ่งที่เขาขู่ไว้
แต่นี่ทำให้ทั้งประเทศมิตรและศัตรูของสหรัฐฯ สับสนว่านโยบายของประเทศคืออะไร กันแน่ และมีความเชื่อมั่นในความเป็นประเทศผู้นำของสหรัฐฯ น้อยลง
นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีนัก ที่มีรัฐบาลสหรัฐฯ ที่คาดเดาไม่ได้ ในโลกที่คาดเดายากอยู่ แล้ว
ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ: https://www.bbc.com