facebook
icon telephoneCall Center02-141-9790
ค้นหา
icon switch languageภาษา
ขนาดตัวอักษร
การแสดงผล
icon line icon youtube icon tiktok
banner_list
  • 1739

รายงานอุตุโลกตอนจบ

29 ม.ค. 61

รายงานของกรมอุตุนิยมวิทยาโลก “WMO Provisional Statement on the State of the Global Climate 2017” ได้กล่าวถึงพื้นที่น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือ ว่า

รายงานของกรมอุตุนิยมวิทยาโลก “WMO Provisional Statement on the State of the Global Climate 2017” ได้กล่าวถึงพื้นที่น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือ ว่า

“การขยายพื้นที่ของน้ำแข็งบริเวณทะเลอาร์กติกต่ำกว่าค่าปกติตลอดทั้งปีและ อยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงสี่เดือนแรกของปี 2560 ส่วนการขยายพื้นที่ของน้ำแข็งที่บริเวณแอนตาร์กติกมีค่าต่ำกว่าค่าปกติเช่นกัน”

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทะเลน้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เมื่อเร็วๆ นี้มีการขยายตัวของน้ำแข็งในทะเลขนาดใหญ่

ปี 2560 หิมะที่ปกคลุมซีกโลกเหนือนั้นครอบคลุมพื้นที่ 10.54 ล้านตารางกิโลเมตร ใกล้เคียงกับค่ากลางของปี 2510-2560

แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์เพิ่มขึ้นมากกว่า 40,000 ล้านตันจากปริมาณหิมะที่สูงกว่าค่าปกติและมีช่วงละลายสั้น

ตั้งแต่ปี 2545 แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์สูญเสียมวลน้ำแข็งประมาณ 3,600,000 ล้านตัน

ด้านระดับน้ำทะเลเฉลี่ยของโลกมีแนวโน้มคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ใกล้เคียงกับระดับน้ำทะเลในช่วงปลายปี 2558 เนื่องจากในช่วงปี 2558-2559 ได้รับอิทธิพลจากปรากฏการณ์เอลนีโญ

ระดับน้ำทะเลเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นสูงสุดประมาณ 10 มิลลิเมตร (ม.ม.) ในช่วงต้นปี 2559

อุณหภูมิผิวน้ำทะเลทั่วโลกของปี 2560 ติด 3 อันดับสูงที่สุด ปริมาณความร้อนในมหาสมุทรทั่วโลกอยู่ในช่วงใกล้เคียงค่าสูงสุดแล้ว

อุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่สูงขึ้นในเขตร้อนที่มีส่วนทำให้เกิดการฟอกขาวของปะการังแต่ยังไม่ขยายบริเวณกว้างเหมือนในช่วงปี 2558-2559

องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก รายงานว่า ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานั้น 3 ใน 29 แนวปะการังที่มีชื่อว่าเป็นมรดกโลกมีอุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงสอดคล้องกับการฟอกขาวของปะการังในบางช่วงเวลาของปี 2557- 2560

สำหรับสภาวะความเป็นกรดในมหาสมุทร ยูเนสโก พบว่า ปี 2560 มหาสมุทรได้ดูดซับ คาร์บอนไดออกไซด์เป็นปริมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์สู่ชั้นบรรยากาศซึ่งช่วยบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก

อย่างไรก็ตาม คาร์บอนไดออกไซด์ที่ดูดซับเข้าไปจะเปลี่ยนระดับความเป็นกรดในมหาสมุทร

ข้อมูลที่บันทึกจากสถานีฮาโลฮา ทางตอนเหนือของรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา ที่เริ่มขึ้นในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 ค่าความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำทะเลได้ลดลงอย่างต่อเนื่องจากค่ามากกว่า 8.10 ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 เป็นค่าระหว่าง 8.04-8.09 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

สภาวะความเป็นกรดในมหาสมุทรนี้มีผลโดยตรงต่อสภาพของแนวปะการัง การตกตะกอนเป็นปูนขาว และการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตที่สำคัญ ซึ่งมีผลต่อห่วงโซ่อาหาร การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและเศรษฐกิจตามชายฝั่ง

รายงานขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ระบุถึงความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกว่า อัตราการเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในช่วงปี 2558-2559 เท่ากับ 3.3 ส่วนในล้านส่วน (ppm) ต่อปี ขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 430.3 ppm นับเป็นสถิติสูงสุดในประวัติการณ์

ข้อมูลปัจจุบันจากหลายๆ แหล่งระบุว่าในปี 2560 ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และไนตรัสออกไซด์ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ด้านเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบรุนแรง ปี 2560 ที่ผ่านมาเกิดพายุเฮอริเคนและส่งผลกระทบรุนแรงต่อเนื่องในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือ จำนวน 3 ลูก ได้แก่ พายุเฮอริเคนฮาร์วีย์ (Harvey) ในเดือนสิงหาคม กับเฮอริเคนเออร์มา (Irma) และเฮอริเคนมาเรีย (Maria) ในเดือนกันยายน

ปริมาณฝนสะสมเกิดจากพายุฮาร์วีย์ในรอบ 7 วัน วัดได้สูงถึง 1,593 มิลลิเมตร (ม.ม.) ที่ใกล้เมืองเนเดอร์แลนด์รัฐเท็กซัส นับเป็นค่าที่สูงที่สุดต่อหนึ่งเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา

ถือเป็นครั้งแรกที่พายุเฮอริเคนที่ความรุนแรงระดับ 4 จำนวน 2 ลูก (เฮอริเคน “ฮาร์วีย์” และ “เออร์มา”) เคลื่อนเข้าถล่มสหรัฐอเมริกาในปีเดียวกัน

เฮอริเคน “เออร์มา” มีความเร็วลม 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นเวลานานถึง 37 ชั่วโมง เป็นระยะเวลาที่ยาวนานที่สุดจากการบันทึกด้วยดาวเทียมและมีความรุนแรงเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 5 ถึง 3 วันติดต่อกัน

เช่นเดียวกับเฮอริเคน “เออร์มา” และ “มาเรีย” ที่มีความรุนแรงสูงถึงระดับ 5 ทำลายล้างหมู่เกาะสำคัญในทะเลแคริบเบียน

ในช่วงกลางเดือนตุลาคม เฮอริเคนโอฟีเลีย มีความรุนแรงระดับ 3 เคลื่อนที่ไปมากกว่า 1,000 กิโลเมตร ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ต่างจากเฮอริเคนที่เกิดในมหาสมุทรแอตแลนติก ตอนเหนือที่ผ่านมา

พายุเฮอริเคนโอฟีเลียทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนักในไอร์แลนด์รวมถึงความแรงลมท้าให้เกิดไฟป่าที่รุนแรงในโปรตุเกสและทางตะวันตกเฉียงเหนือของสเปน

ในเดือนสิงหาคม ปี 2560 เกิดฝนตกหนักรุนแรงจนก่อให้เกิดแผ่นดินถล่มในเมืองฟรีทาวน์ ประเทศเซียร์ราลีโอน ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของทวีปแอฟริกา มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 500 ราย วัดปริมาณฝนรวมใน 2 สัปดาห์ได้ 1,459.2 ม.ม. สูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 4 เท่า

นอกจากนี้ ในเดือนเมษายน สภาวะฝนตกหนักนี้ยังก่อให้เกิดแผ่นดินถล่มในเมืองโมโกอาซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของโคลอมเบีย มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 273 ราย

ในช่วงวันที่ 9-12 สิงหาคม เมืองมอซินรัม ประเทศอินเดีย วัดปริมาณน้ำฝนมากกว่า 1,400 ม.ม. และเมืองรังปุระในบังกลาเทศวัดปริมาณฝนสูงที่สุดวัดได้ถึง 360 ม.ม. ในช่วง วันที่ 11-12 สิงหาคม รวมแล้วในอินเดีย บังกลาเทศ และเนปาล มีรายงานผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,200 ราย ผู้คนกว่า 40 ล้านคนต้องอพยพและได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งนี้

ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ปีที่ผ่านมามีฝนตกหนักส่งผลกระทบต่อทางตะวันตก ของสหรัฐอเมริกา น้ำท่วมใหญ่ แผ่นดินถล่มในหลายพื้นที่มีการอพยพผู้คนนับหมื่น นับเป็นช่วงฤดูหนาวที่ฝนมากที่สุดของรัฐเนวาดา และฝนมากเป็นลำดับที่ 2 ของรัฐแคลิฟอร์เนีย

ด้านผลกระทบจากภัยแล้ง ปี 2560 องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ รายงานว่าในเดือนมิถุนายนพื้นที่เพาะปลูกมากกว่าครึ่งของประเทศโซมาเลียได้รับผลกระทบจากสภาวะแห้งแล้ง และผลผลิตปศุสัตว์ลดลง 40-60 เปอร์เซ็นต์

ปี 2560 หลายพื้นที่ในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนประสบกับภัยแล้ง โดยภัยแล้งรุนแรงที่สุดเกิดในประเทศอิตาลี ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร การผลิตน้ำมันมะกอกลดลงถึง 62 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปี 2559

เกิดคลื่นความร้อนอย่างรุนแรงส่งผลกระทบต่อบางพื้นที่ของอเมริกาใต้ในเดือนมกราคม 2560 ประเทศชิลีมีหลายที่ที่มีอุณหภูมิสูงสุดในประวัติศาสตร์ เช่น ซันติอาโกมีอุณหภูมิสูง ถึง 37.4 ํc

ส่วนอาร์เจนตินามีอุณหภูมิสูงถึง 43.5 ํc เมื่อวันที่ 27 มกราคม ที่เมืองเปอร์โต มาดรีน (Puerto Madryn) อีกทั้งพื้นที่ทางตะวันออกของออสเตรเลียมีอุณหภูมิสูงมากในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ และสูงถึง 47 ํc เมื่อวันที่ 11-12 กุมภาพันธ์

ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ความร้อนส่งผลกระทบต่อบางพื้นที่ในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ โดยวันที่ 28 พฤษภาคม วัดอุณหภูมิสูงถึง 54 ํc ที่เมืองเตอร์บัต (Turbat) ตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศปากีสถานใกล้ชายแดนอิหร่าน และวัดได้สูงกว่า 50 ํc

อิหร่านและโอมาน ในวันที่ 29 มิถุนายน วัดอุณหภูมิได้สูงถึง 53.7 ํc ที่เมืองอาห์วาซ (Ahwaz) ของประเทศอิหร่าน นอกจากนี้ ในเดือนสิงหาคม บาห์เรนมีอุณหภูมิร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์

พื้นที่แถบเมดิเตอร์เรเนียนที่เมืองคอร์โดบา (Cordoba) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศสเปน มีอุณหภูมิสูงถึง 46.9 ํc เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม และเมืองกรานาดา (Granada) อุณหภูมิสูงถึง 45.7 องศาเซลเซียส เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม

คลื่นความร้อนที่เกิดในช่วงต้นเดือนสิงหาคมทำให้เกิดผลกระทบต่ออุณหภูมิทางตอนเหนือและตอนกลางของอิตาลี โครเอเชีย และทางตอนใต้ของฝรั่งเศส

นอกจากนี้ แคลิฟอร์เนียมีฤดูร้อนที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ และความร้อนยังส่งผลกระทบต่อรัฐอื่นๆ ทางด้านตะวันตกอีกด้วย

คลื่นความร้อนในช่วงสิ้นเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายนปี 2560 ที่ผ่าน มาบันทึกค่าอุณหภูมิได้ 41.1 ํc ที่นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา นับเป็นคลื่นความร้อนที่รุนแรงที่สุด


ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ: https://www.matichonweekly.com