Cotoneaster Franchetti เป็นไม้พุ่มไม่ผลัดใบ มีทรงพุ่มหนา ใบสีเขียวเข้มและมีขนปกคลุม ซึ่งพบว่าสามารถดักจับมลพิษทางอากาศได้ดีกว่าพืชพรรณอื่นๆ อย่างน้อย 20%
Note:
Cotoneaster Franchetti มีถิ่นกำเนิดในเขตตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ในเขตมณฑล กุ้ยโจ เสฉวน ทิแบต ยูนยาน และในเขตติดต่อ เช่นตอนเหนือของเมียนม่าและตอนเหนือของประเทศไทย เป็นพรรณไม้ในวงศ์กุหลาบ ( ROSACEAE) แต่ไม่มีชื่อสามัญเป็นภาษาไทย
https://bit.ly/3lapE4j โดยนักวิจัยของ RHS พบว่าพุ่มไม้ของ cotoneaster ที่ขนาดความสูง 1 เมตร สามารถดูดซับมลพิษได้เท่ากับ ปริมาณการปล่อยมลพิษจากรถยนต์ 1 คัน ที่วิ่งเป็นระยะทาง 800 กิโลเมตรโดยใช้เวลาเพียง 7 วัน Dr. Tijana Blanusa หัวหน้าคณะผู้วิจัยจาก RHS กล่าวว่า ในเมืองใหญ่ที่มีการจราจรคับคั่ง เราพบพรรณไม้ เช่น cotoneaster ที่มีทรงพุ่มหนา และใบมีขนหยาบปกคลุม จะสามารถช่วยดูดซับมลพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับพรรณไม้ชนิดอื่นที่สามารถช่วยดูดซับมลพิษได้ เช่น ivy ยังช่วยให้อาคารเย็นเมื่อปลูกตามผนังอาคาร และ hawthorn (พุทราจีน) และ privet ที่จะช่วยดูดซึมน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วมเมื่อมีฝนตกชุก ซึ่งเมื่อพืชพรรณเหล่านี้สามารถช่วยแก้ปัญหาทางสิ่งแวดล้อมได้ การสร้างสวนและพื้นที่สีเขียวจะมีบทบาทสำคัญในการลดผลกระทบและช่วยในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
The need for Trees
จากข้อมูลของ World Economic Forum โลกเคยมีต้นไม้ถึง 6 ล้านล้านต้น และจากการตัดไม้ทำลายป่า คาดการณ์ว่าโลกสูญเสียต้นไม้ปีละ 15,000 ล้านต้น ทำให้จำนวนต้นไม้ในโลกลดลงไปแล้วถึง 3 ล้านล้านต้น (https://bit.ly/3euzBrY) เพื่อที่จะสนับสนุนแผนงาน UN’s Decade on Ecosystem Restoration สำหรับเวลาในช่วงระหว่างปี 2021-2030 หน่วยงาน Trillion Tree Platform (https://bit.ly/3bB0j0q - https://bit.ly/2N3iwKo) มีแผนที่จะสนับสนุนการปลูกต้นไม้ทั่วโลกให้ได้ 1 ล้านล้านต้น ภายในปี 2030
ต้นไม้และพืชพรรณต่างๆ มีส่วนอย่างมากในสุขภาพของโลก เช่น การกักเก็บคาร์บอน การควบคุมอุณหภูมิ ช่วยป้องกันน้ำท่วม และยังช่วยกรองมลพิษทางอากาศ ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ต่ำสถานการณ์ดูจะเลวร้ายมากกว่า WHO ได้ทำการประเมินเมื่อปี 2016 ว่าผู้คนราว 4.2 ล้านคน จะมีอายุขัยสั้นลงจากปัญหามลพิษทางอากาศ และ 91% ของผู้ที่ได้รับผลกระทบอาศัยอยู่ในประเทศที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลาง โดยส่วนมากอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแปซิฟิคตะวันตก
ทางออกของปัญหา คือ พัฒนาการขนส่งและคมนาคมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ดีขึ้น ผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด และเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน เหล่านี้จะสามารถช่วยแก้ปัญหา ไปพร้อมกับการพัฒนาสิ่งแวดล้อมของเมืองให้มีพื้นที่สีเขียว ที่ปลูกต้นไม้มากขึ้นเพื่อช่วยแก้ไขปัญหามลพิษและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ที่มา : https://bit.ly/38uXXOG , https://bit.ly/3l53ros.