คุณภาพก๊าซธรรมชาติลดกระทบการผลิต
ความมั่นคงไฟฟ้าภาคใต้น่ากังวล หลังคุณภาพก๊าซแหล่งเจดีเอลดลง สัดส่วนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น ย้ำใช้ก๊าซผลิตไฟฟ้าเป็นความเสี่ยง ขณะที่พลังงานทดแทนอย่างแสงแดดก็เสี่ยง เพราะคุมธรรมชาติไม่ได้ เผยโรงไฟฟ้าถ่านหินที่กระบี่เป็นทางเลือกที่ดี ด้านท่องเที่ยวท้องถิ่นค้านสุดลิ่มเหมือนเดิม
นายสุนชัย คำนูณเศรษฐ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยในงานเสวนา “คนไทยกลัวอะไร ถ้ามีโรงไฟฟ้าถ่านหิน” จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 23 ก.ย. ว่า ขณะนี้แหล่งก๊าซธรรมชาติพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (เจดีเอ-JDA) มีสัดส่วนของปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เพิ่มขึ้น จากเดิมไม่เกิน 19% เป็น 23% ทำให้เริ่มส่งผลกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าจะนะ (สงขลา) 2 แห่ง กำลังผลิตรวม 1,400 เมกะวัตต์บ้างแล้ว ซึ่งเรื่อง ดังกล่าวได้ประสานไปยังบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในการเร่งแก้ไขปัญหาเร่งด่วนแล้ว
“คุณภาพก๊าซที่ลดลงจะกระทบต่อการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าได้ หากต้องเดินต่อเนื่องไปอย่างนี้เรื่อยๆ ซึ่งได้ประสานไปยัง ปตท.แล้ว คงจะมีการติดตั้งเครื่องปรับคุณภาพ CO2 โดยปริมาณก๊าซฯ ที่ใช้ในแหล่งนี้ มีประมาณ 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และนี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของความเสี่ยงการใช้ก๊าซ ซึ่งภาพรวมเราใช้ก๊าซผลิตไฟสูงถึง 70% ทำให้ทุกฝ่ายร่วมกันทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าหรือ PDP2015 เพื่อลดความเสี่ยงด้วยการกระจายเชื้อเพลิง ไปเพิ่มสัดส่วนถ่านหินและพลังงานทดแทน”
ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่กำหนดเข้าระบบ ม.ค.2562 กฟผ.ก็พยายามที่จะดำเนินการทุกด้านให้เป็นไปตามแผนงานนี้ เพื่อที่จะลดความเสี่ยงด้านไฟฟ้าภาคใต้ เพราะหากต้องเลื่อนออกไป ก็จะกระทบต่อคุณภาพไฟฟ้าที่ลดลงเพราะการผลิตจะไม่สอดคล้องกับความต้องการ ขณะที่บางฝ่าย เสนอให้กระบี่ทำพลังงานทดแทนทั้งหมด ซึ่ง กฟผ.ก็ส่งเสริมเต็มที่ แต่ถามว่าแล้วจะเอาความมั่นคงหรือไม่ เพราะโรงไฟฟ้าเหล่านี้ต้องอาศัยธรรมชาติ หากแสงแดดไม่มา มีเงินก็ซื้อไม่ได้ หรือฝนแล้งพืชทดแทนก็มีปริมาณลดลง ขณะที่เศรษฐกิจมีความเสี่ยงไม่ได้เพราะไฟที่ดับทุก 1 หน่วยจะกระทบต่อเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่า 80 บาทต่อหน่วย
นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า อยากให้คนไทยเปิดใจกว้าง เอาข้อมูลอดีตมาคิดวิเคราะห์และมองในอนาคต จะเห็นว่าอดีตนั้นก็มีการคัดค้านการวางท่อก๊าซเมียนมาและท่อ JDA แต่ถ้ามองมุมกลับ วันนี้หากไม่มีท่อก๊าซ ไทยจะผลิตไฟฟ้าจากอะไรและจะมั่นคงเช่นทุกวันนี้หรือไม่ เช่นเดียวกัน หากในปี 2562-2563 ไม่มีโรงไฟฟ้าใหม่เลย จะเกิดปัญหาด้านคุณภาพไฟฟ้า ต้นทุนแพงขึ้น และหากใน 20 ปีไม่มีโรงไฟฟ้าใหม่เลย จะเป็นอย่างไร และที่สำคัญที่ภาคใต้อยากจะส่งเสริมการท่องเที่ยว จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นก็ต้องมีโรงไฟฟ้าให้เพียงพอ เพราะจากสถิติการใช้ไฟฟ้า นักท่องเที่ยว 1 คนใช้ไฟฟ้ามากกว่าคนท้องถิ่น 4 คน
นายธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะ ประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวว่า ปัญหาในขณะนี้ไม่ใช่ไม่เชื่อมั่นเรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นการไม่เชื่อในคน ทำอย่างไรให้เกิดข้อมูลที่สร้างความน่าเชื่อถือ โดยรัฐบาลควรจะจัดตั้งศูนย์ข้อมูลด้านพลังงานแห่งชาติ เพื่อให้เกิดการยอมรับในข้อมูลเดียวกัน “เห็นด้วยนะว่าควรมีโรงไฟฟ้าถ่านหิน เพราะถ้าการท่องเที่ยวเติบโต เราก็ต้องมองในเรื่องการใช้ให้สอดคล้อง แต่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันดูแลด้านสิ่งแวดล้อม อยากเห็นการจัดการที่มากกว่าแผนรายงานผลกระทบสุขภาพและสิ่งแวดล้อมหรือ EHIA”
นายสวาสดิ์ เถาว์กลอย กรรมการอิสลาม จังหวัดกระบี่ ระบุ อยากเห็นโรงไฟฟ้ากระบี่เกิดขึ้น และรัฐบาลควรจะหาหน่วยงานหรือศูนย์กลางทำให้เกิดความเข้าใจทุกฝ่าย ผ่านวิกฤติความคิด โดยอยากเห็นการสร้างผลประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่มากกว่า
ด้านนายธีรพจน์ กษิรวัฒน์ นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวเกาะลันตา กล่าวคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ เพราะเกรงจะกระทบต่อภาวะโลกร้อนที่นักท่องเที่ยวให้ความใส่ใจ และกระทบต่อการท่องเที่ยวในที่สุด รวมทั้งเกรงเรื่องผลกระทบต่อปะการังจากการขนส่งถ่านหิน โดยจังหวัดกระบี่มีการใช้ไฟฟ้า 120 เมกะวัตต์ มีโรงงานปาล์ม 30 โรง หากส่งเสริมให้ใช้พลังงานชีวมวลทดแทนในกระบี่ก็เพียงพอแล้ว.
ที่มาของบทความ: http://www.thairath.co.th
ที่มาของรูปภาพประกอบ: http://news.voicetv.co.th