เมื่อไม่นานมานี้ที่ประเทศเยอรมนี ตามเนื้อหาที่ทาง Renewables International ได้เปิดเผยออกมา โดยเป็นการระบุถึงจำนวนผลรวมการผลิตกระแสไฟฟ้าของทั้ง 2 รัฐภายในประเทศไว้ว่า มีตัวเลขการสร้างพลังงานทดแทนเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าปริมาณการบริโภค ซึ่งเหมาะสมสำหรับการใช้งาน เพื่อพร้อมตอบสนองและรองรับต่อความต้องการของประชาชนอีกด้วย
โดยสถิตินี้เกิดขึ้นที่รัฐเมคเลนบูร์ก-ฟอร์พอมเมิร์น (Mecklenburg-Vorpommern) ใกล้กับประเทศโปแลนด์และทะเลบอลติก (Baltic Sea) ซึ่งมียอดการใช้พลังงานทดแทนสุทธิถึง 130% แบ่งเป็น พลังงานลมบนภาคพื้นดินที่ 2.6 เทราวัตต์ชั่วโมง (TWh) แหล่งพลังงานชีวมวล 2.3 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) และจากแหล่งพลังงานลมนอกชายฝั่งทะเล 0.6 TWh ทั้งนี้รวมแล้วคิดเป็น 4.9 TWh เลยทีเดียว นอกจากนั้นยังมีอีกสถานที่หนึ่ง คือ รัฐชเลสวิก-โฮลชไตน์ (Schleswig-Holstein) รัฐที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศเยอรมนี ใกล้กับประเทศเดนมาร์กและแถบทะเลบอลติก ก็มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานทดแทน 100% เช่นกัน ประกอบด้วยพลังงานชีวมวล 46% ตามมาด้วยพลังงานลมที่ 44% และแหล่งพลังงานอื่น ๆ อีก 10%
ทั้งนี้ที่รัฐอย่างเมคเลนบูร์ก-ฟอร์พอมเมิร์น และรัฐชเลสวิก-โฮลชไตน์ ประสบความสำเร็จในการใช้พลังงานทดแทนหมุนเวียนแบบ 100% เต็ม ในระยะเวลาอันสั้นก็เพราะเหตุผลสำคัญ เนื่องด้วยเมื่อเปรียบเทียบกับสัดส่วนของเมืองอื่น ๆ ในประเทศเยอรมนีแล้ว รัฐทั้ง 2 แห่งนี้ มีทำเลที่มากเพียงพอสำหรับแผนการก่อสร้างโครงการพลังงานสะอาด และประกอบกับเป็นพื้นที่ที่มีจำนวนประชากรอาศัยอยู่น้อยที่สุด ซึ่งนั่นหมายความว่าอัตราการบริโภคพลังงานย่อมลดลงอีกด้วย โดยตามรายงาน รัฐเมคเลนบูร์ก-ฟอร์พอมเมิร์น นั้น สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าส่งออก แจกจ่ายไปทั่วอาณาบริเวณใกล้เคียงได้อย่างครบถ้วน รวมถึงยังมีการนำเข้ากระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ในระดับที่ต่ำไปพร้อม ๆ กัน
อย่างไรก็ตามเมื่อย้อนกลับไปในปี 2011 ที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งขณะนั้นมีหมู่บ้านชื่อ วิลด์โพลด์สรีด (Wildpoldsried) ก็สามารถผลิตพลังงานสะอาดมากกว่าจำนวนความต้องการถึง 321% เลยทีเดียว โดยเป้าหมายต่อไปของรัฐชเลสวิก-โฮลชไตน์ คือ การมุ่งมั่นเดินหน้าขับเคลื่อนและทำการเจริญรอยตามด้วยการเร่งกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนให้พุ่งสูงขึ้นถึง 300% ภายในไม่เกินปี 2020 นี้ อย่างแน่นอน
ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ http://www.energysavingmedia.com