facebook
icon telephoneCall Center02-141-9790
ค้นหา
icon switch languageภาษา
ขนาดตัวอักษร
การแสดงผล
icon line icon youtube icon tiktok
banner_list
  • 1152

สินเชื่อเพื่อการประหยัดพลังงาน (Energy Saving Loan)

15 ต.ค. 59

สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยกำลังถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญอย่างหนึ่ง ก็คือ การเดินหน้าของรูปแบบการลงทุนใน ‘กองทรัสต์เพื่อสิทธิการเช่าในอสังหาริมทรัพย์’ หรือ Real Estate Investment Trust (REIT) ด้วยการเปิดตัวอย่างอลังการของกองทรัสต์ Golden Ventures REIT หรือ GVREIT ในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2559 ที่ผ่านมา กองทรัสต์ Golden Ventures นี้ บริหารโดย สองบริษัทยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนาอาคารพาณิชย์เกรดเอของกรุงเทพ ได้แก่ Univentures ที่พัฒนาโครงการ Park Ventures Ecoplex และบริษัท Golden Land Development ที่พัฒนาโครงการสาทรสแควร์ ซึ่งทั้งสองอาคารนี้จัดว่าเป็นก้าวแรกของการพัฒนาอาคารสำนักงานให้เช่าที่เน้นการประหยัดพลังงาน และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ อาคารเขียว (Green Building) ที่ได้รับการรับรอง LEED ระดับพลาตินั่มสำหรับโครงการ Park Ventures และระดับทองสำหรับโครงการสาทรสแควร์ ซึ่งผลประกอบการของทั้งสองอาคารต่างเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จเกินคาด ทั้งจากอัตราค่าเช่าพื้นที่ที่สูงที่สุดในประเทศ (1,200 บาทต่อตรม. ในกรณีของ Park Ventures) และจำนวนพื้นที่เช่าที่มีผู้เช่าเต็ม ในขณะที่อาคารสำนักงานที่อยู่ใกล้ ๆ กัน บางแห่งมีผู้เช่าเพียง 50% และหลายแห่งก็ถูกปล่อยปละละเลยให้เก่าเสื่อมโทรม ซึ่งนอกจากจะส่งผลต่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยจากอัคคีภัยของผู้เช่าแล้ว ยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ของบริษัทที่มาเช่าด้วยว่าเขาไม่ได้ใส่ใจต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพนักงานอย่างเพียงพอ จึงมาเช่าตึกเก่าๆ โทรมๆ ไม่ปลอดภัยให้พนักงานนั่งทำงานทุกวัน

ดังนั้น ในช่วงปีที่ผ่านมา จึงมีโครงการอาคารสำนักงานให้เช่าใหม่ๆ คุณภาพสูง เปิดตัวกันอย่างมากมาย และทุกโครงการล้วนพัฒนาปรับปรุงการออกแบบอาคารให้ประหยัดพลังงาน รักษาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งนำอาคารเข้ารับการรับรองมาตรฐานอาคารเขียว LEED กันอย่างทั่วหน้า จนเป็นข้อกำหนดเบื้องต้นของการพัฒนาอาคารพาณิชย์ในวันนี้ที่ต้องได้รับ LEED Certificate เพราะไม่เพียงแต่ภาพลักษณ์ที่ดีของผู้พัฒนาโครงการในด้านการประหยัดพลังงานและสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังมีเรื่องภาพลักษณ์ที่ดีของบริษัทผู้เช่าทางด้าน CSR (Corporate Social Responsibility) หรือความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งองค์กรต่างๆ คงไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่ารับผิดชอบต่อสังคม ในขณะที่ปล่อยปะละเลยให้องค์กรตั้งอยู่ในอาคารคุณภาพต่ำ ผลาญพลังงาน และไม่สนใจสุขภาพความปลอดภัยของพนักงานลูกจ้างขององค์กร นั่นคือ คำตอบของคำถามที่ว่า ‘ทำ green แล้วได้อะไร’ เพราะ Green Business is Good Business ; Green Building is Good Building

แล้วอาคารเก่าจะทำอย่างไร ? ในขณะที่กระแส CSR และภาพลักษณ์ของบริษัทต่างๆ มีมูลค่าสูงกว่าค่าเช่าที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยระหว่างการเช่าสำนักงานใหม่ๆ ที่เป็นอาคารเขียว และการเช่าสำนักงานเก่าที่ราคาถูกกว่าแต่ไม่น่าสบาย ไม่ปลอดภัย คำตอบที่ชัดเจนในเวลานี้ ก็คือ สำนักงานเก่าๆ ต้องหาเงินมาปรับปรุงอาคารตนเองให้น่าอยู่น่าสบาย ปลอดภัย และทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ให้เทียบเท่ากับอาคารใหม่ๆ ให้ได้ มิฉะนั้น อัตราค่าเช่าก็จะต้องลดต่ำลง หรือต้องยอมปล่อยให้ผู้เช่าย้ายออกไปอยู่อาคารอื่น ทำให้อาคารมีพื้นที่เช่าไม่เต็ม การลงทุนปรับปรุงอาคารก็จะยิ่งยากลำบากมากยิ่งขึ้น เพราะการที่อาคารมีพื้นที่ว่างเหลือ เจ้าของอาคารก็จะเก็บค่าเช่าเพื่อนำเงินมาหมุนเพื่อปรับปรุงอาคารได้น้อย และในที่สุดอาคารเก่าเหล่านั้นก็ต้องถูกขายต่อให้นักลงทุนรายใหญ่กว่าที่มีเงินมากกว่านำไปปรับปรุงอาคารให้ดี และปล่อยให้เช่าในราคาที่สูงต่อไป จนดูคล้ายกับธุรกิจปลาใหญ่กินปลาเล็ก ที่ในที่สุดอาคารพาณิชย์เกือบทั้งกรุงเทพฯ ก็อาจจะตกอยู่ในมือของมหาเศรษฐีเพียงไม่กี่ตระกูล และทำให้เกิดการผูกขาดในธุรกิจขนาดใหญ่นี้ ดังเช่นที่เกิดกับธุรกิจค้าปลีกมาแล้ว

ภาครัฐจึงต้องช่วยเหลือนักธุรกิจรายย่อยหรือปานกลาง และเหล่าเจ้าของอาคารที่ไม่ได้มีบริษัทยักษ์ใหญ่เป็นเจ้าของ โดยการให้เงินกู้อัตราพิเศษให้เจ้าของอาคารเก่าๆ นำไปใช้ปรับปรุงอาคารของตนให้มีมาตรฐานด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น ทัดเทียมกับเจ้าของอาคารที่เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่สามารถระดมทุนที่มีดอกเบี้ยต่ำมากมาได้อย่างง่ายดาย ซึ่งบริษัทมหาชนเหล่านี้ต่างก็มีธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ยัดเยียดสินเชื่อให้ที่อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก เช่น 1-2% จนแทบจะกล่าวว่าบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้กู้เงินธนาคารหนึ่งแล้วนำมาฝากอีกธนาคารก็ยังกำไรดอกเบี้ยเสียอีก

ภาครัฐ โดย กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน หรือ พพ. สังกัดกระทรวงพลังงาน จึงได้ริเริ่มโครงการกองทุนหมุนเวียนเพื่อการประหยัดพลังงาน (Energy Efficiency Revolving Fund – EERF) มาตั้งแต่กว่าสิบปีที่แล้ว และนำมาใช้ใหม่ ตั้งแต่มกราคม 2559 นี้เอง ซึ่งการที่เรียกว่ากองทุนหมุนเวียน ก็เพราะไม่ใช่เงินให้เปล่า แต่ให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำที่ 3.5% ต่อปี วงเงินกู้รายละไม่เกิน 50 ล้านบาท และต้องชำระคืนภายใน 5 ปี เพื่อนำเงินกลับมาหมุนเวียนให้โครงการอื่นๆ กู้ต่อไป ซึ่งวงเงินโครงการในปีงบประมาณ 2559 จะอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท กระจายให้ธนาคารพาณิชย์ในประเทศ 8 ธนาคาร นำไปปล่อยให้แก่ลูกค้าประจำของธนาคารนั้นๆ ซึ่งการกู้เงินก็ต้องมีข้อกำหนดที่ให้นำไปใช้กับมาตรการประหยัดพลังงานที่คุ้มค่า มีระยะเวลาคืนทุนภายใน 7 ปี และต้องดำเนินการโดยบริษัทที่ปรึกษา ESCO ที่ได้มาตรฐาน รับรองโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และที่สำคัญที่สุด เพื่อปกป้องเงินภาษีของประเทศ และปกป้องผลประโยชน์ของเจ้าของอาคารว่าได้จ่ายดอกเบี้ยไปแล้ว ผลที่ได้ต้องมีการประหยัดพลังงานจริง โดยมีการรับรองทำสัญญาพลังงานกันจริงจังว่าถ้าประหยัดไม่ได้จริง ที่ปรึกษา ESCO จะต้องร่วมรับผิดชอบด้วย หรือที่เรียกว่า Guarantee Saving

อย่างไรก็ดี ในที่สุดแล้ว ระบบสินเชื่อแบบนี้ คงไม่เหมาะกับทุกคน อัตราดอกเบี้ยเป็นตัวกำหนดทุกอย่าง ถ้าบริษัทคุณเครดิตดี คุณก็หาดอกเบี้ยอัตราที่ต่ำกว่า 3.5% นี้ ได้ง่ายๆ อยู่แล้ว ไม่ต้องมาใช้เงินกองทุนนี้ แต่ถ้าคุณเป็นบริษัทไม่ใหญ่แบบบริษัทมหาชน ประวัติการเงินไม่ดีเด่นมากนัก คุณก็คงหาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำมาลงทุนไม่ง่ายนัก ดังนั้น 3.5% จึงเป็นอัตราดอกเบี้ยที่จูงใจคนกลุ่มนี้ได้ แต่คงไม่มีใครอยากเอาเงินลงทุนของบริษัท (Equity) มาลงทุนด้านนี้ ถ้าหากมีตัวเลือกเงินกู้ที่ดีกว่า ซึ่งมักจะถูกกว่าเอาเงินลงทุนที่มีค่าเสียโอกาสมาจ่าย


ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ http://www.energysavingmedia.com