ในช่วงหนึ่งปีก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ในวาระนี้จะมีการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2559 นั้น จะเห็นการเปิดตัวลงสมัครชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐของผู้สมัครมากหน้าหลายตา ทั้งสังกัดพรรคการเมืองใหญ่ ทั้งรีพับลิกัน และเดโมแครต รวมทั้งคนดังในสังคมอเมริกันที่มักจะเป็นกลุ่ม “สร้างสีสัน” ให้แก่การเลือกตั้งเสียมากกว่าจะที่จะหวังได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนจนกลายเป็นผู้นำชาวอเมริกันในที่สุด
ซึ่งในวาระก่อนการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็เริ่มมีสีสันให้เห็นกันบ้างแล้ว อย่างเช่นการประกาศตัวลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของนายโดนัลด์ ทรัมป์ อภิมหาเศรษฐีนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจบันเทิง ที่บอกว่ามุ่งมั่นจะเป็นผู้นำประเทศให้ได้สักครั้งในชีวิต
รวมทั้งการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของนางฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลประธานาธิบดีบารัก โอบามา และอดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ในยุคที่นายบิล คลินตัน สามีของเธอดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ในการลงชิงชัยเพื่อสร้างประวัติศาสตร์การเป็นผู้นำหญิงคนแรกของชาวอเมริกัน
นางคลินตันเลือกใช้วิธีพลิกวิกฤติเป็นโอกาส ในการวางกลยุทธ์การหาเสียงสนับสนุนจากชาวอเมริกันให้เธอได้ไปถึงฝั่งฝันที่ต้องการ วิกฤติที่ว่านั้นคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลก ที่ทำให้ชาวอเมริกันสัมผัสกับความแห้งแล้ง ความผันผวนของฤดูกาล ทั้งฤดูร้อนที่ยาวนานขึ้นจนเกิดภาวะแห้งแล้งรุนแรงเช่นที่เกิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนีย และการที่ฤดูหนาวนั้นมาล่าช้ากว่ากำหนดแต่มีความรุนแรงมากขึ้นจนทำให้มีหิมะกองสูงกว่าปกติในรัฐนิวยอร์กและฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ
อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งประกาศว่า จะดำเนินแผนการลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล เพื่อลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ทำให้ชาวอเมริกันเดือดร้อนกันถ้วนทั่ว และหันมาสร้างแหล่งพลังงานสะอาดในการผลิตไฟฟ้าให้มากขึ้นอย่างชัดเจน
ที่เมืองเดส โมยนีส์ รัฐไอโอวา นางฮิลลารีใช้เป็นที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และได้ประกาศนโยบายของตนเองว่า “เราจะทำให้อเมริกาเป็นมหาอำนาจทางด้านพลังงานสะอาดของโลก”
“เราต้องติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ (เพื่อการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์) กว่า 500 ล้านแผงทั่วประเทศภายในช่วงก่อนการสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกของข้าพเจ้า” “ขั้นต่อไปเราจะตั้งเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนในบ้านทุกหลังคาเรือนทั่วประเทศภายในอีก 10 ปีข้างหน้า”
ถ้าจะแปลตรงๆ จากคำพูดของนางคลินตันก็คือ ถ้าได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเธอจะเดินหน้าแผนการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์จนมีกำลังผลิตไฟฟ้า 140 กิกะวัตต์ ภายในปี 2563 หรือ เพิ่มขึ้น 7 เท่า เมื่อเทียบกับจำนวนแผงโซลาร์เซลล์ที่มีการติดตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกาในเวลานี้
ทั้งยังใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดให้ได้มากถึง 1 ใน 3 ของปริมาณการบริโภคไฟฟ้าในสหรัฐภายในปี 2563 ซึ่งนอกจากจะส่งผลดีช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกลงแล้ว ยังทำให้มีเม็ดเงินลงทุนในโครงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และพลังงานสะอาดไปกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และนำเศรษฐกิจของสหรัฐไปสู่ “สังคมการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนมหันต์ ภายในปี 2593”
การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเป็นประเด็นสุดขั้วสำหรับสมาชิกพรรครีพับลิกัน รวมทั้งผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปี 2559 อีกหลายคน เพราะต่างตั้งคำถามขึ้นมาว่า กิจกรรมการรณรงค์ลดโลกร้อนที่มนุษย์เราทำอยู่นั้นจะส่งผลให้สภาพอากาศโลกนั้นดีขึ้น หรือ ไม่เลวร้ายลงไปกว่านี้ได้จริงหรือ
ในสภาคองเกรส ที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ก็ระดมเสียงกันค้านแผนการสร้างมาตรฐานการต่อต้านการสร้างมลภาวะที่ประธานาธิบดีโอบามาเป็นผู้เสนอให้สภาพิจารณาโดยเฉพาะในส่วนของการกำหนดมาตรฐานสำหรับโรงไฟฟ้าพลังถ่านหิน
ซึ่งในเรื่องดังกล่าวนางฮิลลารีที่มีดีกรีแก่กล้าในฐานะนักการเมืองอยู่ไม่น้อย ก็ได้วางแผนยุทธศาสตร์กำจัดกำแพงกีดกันจากพรรคตรงข้ามไว้แล้ว และได้กล่าวสำทับพรรครีพับลิกันที่มีเจ้าของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หนุนหลัง ว่า “เราไม่สามารถปิดตาเพื่อละเลยความเสี่ยงของพี่น้องที่ทำงานหนักในอุตสาหกรรมถ่านหินได้ เพราะพวกเขาเหล่านี้เป็นผู้ให้แสงสว่างและพลังงานแก่อุตสาหกรรมของประเทศมานานกว่าศตวรรษ”
นโยบายของนางคลินตันนับเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง เพราะในปัจจุบันชาวอเมริกันพึ่งพาพลังงานฟอสซิลเป็นหลัก โดยสถิติเมื่อปี 2557 พบว่ากำลังการผลิตไฟฟ้า 67% ในสหรัฐอเมริกา มาจากถ่านหิน และเชื้อเพลิงฟอสซิลมีเพียง 13% ที่มาจากพลังงานทดแทน และเพียง 0.4% มาจากพลังงานแสงอาทิตย์ ส่วนที่เหลืออีกราว 20% มาจากการใช้พลังงานนิวเคลียร์
ไม่แน่ว่านโยบายของนางคลินตันจะทำให้เธอได้ไปถึงฝั่งฝัน เป็นผู้นำหญิงคนแรกในประวััติศาสตร์สหรัฐอเมริกาได้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ เธอได้พิสูจน์ความเป็นนักการเมืองที่มีวิสัยทัศน์ และกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงแม้จะเป็นเรื่องที่ยากราวกับเข็นครกขึ้นภูเขานั้นแล
โดย...วัจน พรหโมบล
ที่มาของข่าวและรูปภาพประกอบ: http://www.komchadluek.net