องค์การอาหารและเกษตรกรรมแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) พูดถึงเรื่องของปลาว่าเป็นแหล่งโปรตีนและแหล่ง รายได้ของประชากรโลกกว่า 540 ล้านคน เมื่อสภาวะภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง แน่นอนว่า ระบบนิเวศน์ทางทะเล จะได้รับผลกระทบไปด้วย
เอฟเอโอเรียกร้องให้ชาวโลกเร่งตระหนักถึงภาวะโลกร้อนและวางแผนปฏิบัติการอย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นจะทำให้ความมั่นคงทางอาหารและคุณค่าทางโภชนาการมีผลกระทบตามมา หมายความว่า แนวโน้มประชากรโลกจำนวนนับล้านคนอาจเผชิญกับความอดอยากหิวโหยเพราะไม่มีปลาซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญให้กินเพียงพอ สมัยเด็กๆ ยังจำได้ว่าเมื่อไปเดินตลาด เห็นพ่อค้าแผงปลา ขายปลาโอ ปลาแดง ปลาเป็ดหรือแม้กระทั่งปลาทูในราคาถูกมาก ซื้อเยอะมีแถมให้อีก ที่เป็นเช่นนี้เพราะทะเลมีความอุดมสมบูรณ์ ชาวประมงออกเรือแต่ละครั้งจับปลาได้มากมาย ปลาโอ ปลาแดง ปลาทูติดแหอวนเหลือเฟือจึงเป็นปลาที่พ่อค้านำมาขายในราคาถูก ชาวบ้านหาเช้ากินค่ำซื้อไปทำเป็นอาหาร ได้แทบทุกมื้อ คนพอมีสตังค์ซื้อปลาทะเลลึก เช่น ปลากะพง ปลาเก๋า ปลาจะละเม็ด ปลาเต๋าเต้ย ฯลฯ แต่ปัจจุบันทั้ง ปลาโอ ปลาแดง ปลาทูกลายเป็นปลาที่มีราคาแพง คนหาเช้ากินค่ำแทบไม่มีโอกาสซื้อไปกิน ส่วนปลาเป็ดก็กลายเป็นปลาที่ชาวประมงต้องการล่านำไปขายส่งให้โรงงานปลาป่นผลิตเป็นอาหารสัตว์
ความต้องการกินปลาเป็นอาหารนั้นกลายเป็นกระแสความนิยมของโลกเพราะเชื่อว่าปลามีทั้งโปรตีน สารอาหารบำรุงสมองและร่างกายให้แข็งแรงมีอายุยืนยาวขึ้น
ปี 2503 สถิติชาวโลกกินปลาเฉลี่ยคนละ 9.9 กิโลกรัม จำนวนประชากรขยายตัวมากขึ้น ปริมาณการกินปลาก็ขยายตัวตามด้วย ถัดมาในปี 2524 เฉลี่ยคนละ 14.4 กิโลกรัม มาถึงปี 2548 เพิ่มเป็นคนละ 16.4 กิโลกรัม
จุดเปลี่ยนการกินปลาของโลกอยู่ที่จีน หลังจากมีการเปิดประตูการค้าและอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจพุ่งอย่างรวดเร็วทำให้ชาวจีนหันมากินปลาและสัตว์ทะเลอย่างมโหฬาร ในปี 2537 ชาวจีนมีสัดส่วนการกินปลามาก 21% เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก มาปี 2548 สถิติพุ่งขึ้นถึง 35% เป็นสถิติสูงสุด ดังนั้น หากการขยายตัวของประชากรโลกเพิ่มขึ้น ความต้องการบริโภคปลาย่อมจะมีมากขึ้น ปกติแล้วประชากรโลกขยายตัวเฉลี่ยปีละ 1.24% ต่อปี ในปีนี้คาดว่าจะมีจำนวนประชากรโลก 7,800 ล้านคน และปี 2573 จำนวนประชากรโลกจะอยู่ที่ 8,600 ล้านคน แต่พอมาถึงปี 2593 หรืออีก 33 ปีข้างหน้า ทะลุถึง 9,800 ล้านคน
คำถามมีอยู่ว่า เมื่อจำนวนประชากรขยายตัวอย่างนี้ ทะเลมีปริมาณปลามากพอที่จะให้จับกินเป็นอาหารได้ทุกมื้อ?
ขณะเดียวกัน การประมงผิดกฎหมาย ใช้แหอวนที่ตาถี่เล็กกวาดลากถูใต้ท้องทะเลจนทำให้ปะการังแหล่งโซ่ อาหารพังยับเยิน ปริมาณปลาและสัตว์ในทะเลลดฮวบฮาบ ประกอบกับสภาวะโลกร้อนทำให้สัตว์น้ำอาศัยในทะเลที่มีอุณหภูมิเพิ่มสูงย้ายแหล่งอาศัยไปอยู่ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิเย็นกว่า ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำเนื่องจากภูมิอากาศที่แปรปรวน เช่น พายุไซโคลน ไต้ฝุ่นเพิ่มระดับความรุนแรง มีผลต่อระบบนิเวศน์ชายฝั่ง ป่าโกงกาง ป่าชายเลน แหล่งปะการัง ความแปรปรวนเหล่านี้กระทบต่อการดำรงชีวิตของสัตว์ใต้ท้องทะเลทั้งสิ้น
มีกรณีตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงสภาวะโลกร้อนที่ส่งผลต่อธุรกิจการเพาะเลี้ยงหอยในรัฐโอเรกอนและรัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2555 พบว่า อุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกเพิ่มสูงขึ้น มีความเป็นกรดสูงทำให้หอยนางรมตาย ธุรกิจการเพาะเลี้ยงหอยพังยับเยิน ต่อมาหน่วยงานของรัฐโอเรกอนและวอชิงตัน ติดตั้งเฝ้าติดตามตรวจสอบข้อมูลคุณภาพน้ำทะเลว่า มีความเป็นกรดมากน้อยเท่าไหร่ ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศโลกเพิ่มขึ้นแค่ไหน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของน้ำทะเล การตรวจสอบดังกล่าวเป็นข้อมูลชนิดเรียลไทม์ ที่ส่งให้กับกลุ่มผู้เลี้ยงหอยนางรมในทันทีเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์วิกฤตได้ทันควัน
อีกกรณี เกิดคลื่นความร้อนในทะเล (marine heatwave) บริเวณชายฝั่งออสเตรเลียตะวันตก เมื่อปี 2554 วัดระดับอุณหภูมิสูงกว่าปกติ 2-4 องศาเซลเซียส ตลอดแนวชายฝั่งยาวกว่า 2,000 กิโลเมตรและกินพื้นที่กว้าง 200 กิโลเมตรจากชายฝั่ง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 10 สัปดาห์ มีผลต่อการดำรงชีวิตของฝูงปลาและสัตว์น้ำบริเวณชายฝั่งอย่างหนัก
ผลจากสภาวะโลกร้อนเช่นนี้บีบบังคับให้สัตว์เลือดเย็นใต้ท้องทะเลย้ายถิ่นอาศัยไปอยู่ในแหล่งน้ำที่อุณหภูมิเย็นกว่า โดยเฉพาะช่วงระหว่างการเปลี่ยนแปลงแหล่งอาศัยถิ่นที่อยู่ วงจรชีวิตของฝูงสัตว์ใต้ทะเลเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปด้วย เช่น ระยะเวลาการวางไข่และการเติบโต
นักวิทยาศาสตร์พบว่า ฝูงปลาที่ย้ายถิ่น น้ำหนักและขนาดตัวปลาเปลี่ยนแปลงลดลง เมื่อฝูงปลาย้ายถิ่น ชาวเรือประมงก็ต้องเคลื่อนย้ายกองเรือตามไปจับปลาด้วย คาดว่า ในอนาคตกองเรือประมง 30-70% เปลี่ยนพื้นที่ทำมาหากินย้ายไปยังแหล่งปลาที่มีอุณหภูมิเย็นกว่าและลึกกว่าเดิม
ผู้เชี่ยวชาญด้านการประมงของสหรัฐชี้ถึงทางออกของปัญหาโลกร้อนที่มีผลกระทบต่อการประมงว่า จะต้องหาวิธีเพาะเลี้ยงสัตว์ในทะเลให้มีประสิทธิภาพที่สุด
“เจมส์ วัตสัน” นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยโอเรกอน แนะนำให้เพาะเลี้ยงสัตว์ในทะเลเปิดโดยใช้พันธุ์ที่มีความสามารถในการปรับตัวกับสภาวะภูมิอากาศที่แปลี่ยนแปลงได้ดี วิธีการนี้จะช่วยให้ปลาโตเร็วและมีปริมาณมาก จนสามารถเลี้ยงผู้คนนับพันล้านคนได้ และแนะนำให้เลี้ยงปลา 3 ชนิด ได้แก่ ปลาแอตแลนติกแซลมอน ปลาทรายแดง และปลาช่อนทะเล ทั้งนี้ ปลาทั้งสามชนิดนี้สามารถปรับตัวอาศัยในทะเลที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นเฉลี่ย 2-5 องศา เซลเซียส มีอัตราการเติบโตเร็ว
นี่เป็นอีกหนึ่งทางออกของอุตสาหกรรมประมงในท่ามกลางวิกฤตโลกร้อน
ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ: https://www.matichonweekly.com