ขณะที่นายซิลแวง ฟูร์ริแยร์ อัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทยกล่าวว่า ภาวะการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพอากาศบนโลกมีผลกระทบต่อทุกคน
การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 21 หรือ “ซีโอพี 21” ตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ยูเอ็นเอฟซีซีซี ) และการประชุมสมัชชารัฐภาคีพิธีสารเกียวโตสมัยที่ 11 หรือ “ซีเอ็มพี 11” กำลังจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 30 พ.ย.-11 ธ.ค. ปีนี้ ที่กรุงปารีส สำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรป (อียู) ประจำประเทศไทยจึงร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ในฐานะประเทศเจ้าภาพ สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนี สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษ และคณะวิศวกรรม ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงจัดกิจกรรมนับถอยหลังเข้าสู่การประชุมครั้งสำคัญดังกล่าว
ทั้งนี้ หนึ่งในวาระสำคัญของการประชุมครั้งนี้ คือการกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับแต่ละประเทศ เพื่อควบคุมการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเฉลี่ยบนโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส ภายในปี 2563 ก่อนที่จะมีการกำหนดเป้าหมายระยะยาวหลังจากนั้น ในฐานะที่อียูคือหนึ่งในผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศโลกมากที่สุด นางลุยซา ราเกย์ รองหัวหน้าคณะผู้แทนอียูประจำประเทศไทย กล่าวว่าสหภาพซึ่งเป็นตัวแทนของสมาชิกทั้ง 28 ประเทศ แสดงบทบาทในฐานะผู้นำผ่านการเดินสายชี้แจงความสำคัญของการปฏิรูปพฤติกรรมการใช้พลังงานเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งการจัดกิจกรรมร่วมกับสถาบันการศึกษาเป็นหนึ่งในวิธีที่อียูเลือกปฏิบัติ เพื่อปลูกฝังค่านิยมและความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อมให้แก่คนรุ่นใหม่
ขณะที่นายซิลแวง ฟูร์ริแยร์ อัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทยกล่าวว่า ภาวะการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพอากาศบนโลกมีผลกระทบต่อทุกคน การประชุมซีโอพี 21 จึงเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่ประชาคมโลกจะได้หารือแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวร่วมกัน ซึ่งระหว่างนี้รัฐบาลปารีสในฐานะเจ้าภาพได้เดินสายชี้แจงและแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมกับนานาประเทศ เบื้องต้นรัฐบาลฝรั่งเศสได้กระตุ้นให้ประเทศที่ร่วมเป็นรัฐภาคีส่งกรอบแผนการดำเนินงานเพื่อลดปริมาณก๊าซคาร์บอนในประเทศของตัวเองให้ทันตามกำหนด คือภายในวันที่ 30 ก.ย. นี้ด้วย
ด้าน ดร.เพียร์ เกเบาเออร์ อัครราช ทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย กล่าวถึงแนวทางของเยอรมนีในฐานะประเทศมหาอำนาจของยุโรป ซึ่งหันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น และแผนยุทธศาสตร์ลดระดับการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในประเทศอย่างเบ็ดเสร็จภายในปี 2565 ทั้งนี้ แผนการดังกล่าวได้รับการปรับเปลี่ยนหลังเกิดเหตุภัยพิบัตินิวเคลียร์ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิจิของญี่ปุ่น เมื่อปี 2554
ในฐานะสหภาพด้านการเมืองและเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด อียูมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในการกระตุ้นให้บรรดาประเทศพันธมิตรเพิ่มการให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาด้านสภาพอากาศบนโลกที่วิกฤติขึ้นทุกขณะ อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศซึ่งมีฐานะร่ำรวยและมีอิทธิพลทางการเมืองหลายแห่งยังคงมีแนวคิดในเรื่องนี้ที่แตกต่างการอยู่มาก สะท้อนให้เห็นว่าการบ้านชิ้นนี้ไม่ใช่ของง่าย.
ที่มาของบทความ: http://www.dailynews.co.th
ที่มาของรูปภาพประกอบ: http://www.masersenergy.com