facebook
icon telephoneCall Center02-141-9790
ค้นหา
icon switch languageภาษา
ขนาดตัวอักษร
การแสดงผล
icon line icon youtube icon tiktok
banner_list
  • _118941015_gettyimages-50985423

ไอวอรีโคสต์จะใช้เศษซากจากโกโก้ผลิตไฟในโรงงานชีวมวลที่ใหญ่ที่สุดแอฟริกาตะวันตก

02 ก.ค. 64

มากกว่า 40% ของเมล็ดโกโก้ในท้องตลาดมีต้นกำเนิดจากไอวอรีโคสต์ ซึ่งจนถึงขณะนี้ถือเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของประเทศ โกโก้จากที่นี่ถูกส่งไปยังผู้คนทั่วโลกมานานหลายสิบปีแล้ว แต่ตอนนี้ ไอวอรีโคสต์กำลังใช้ส่วนประกอบของโกโก้มาผลิตไฟฟ้าให้กับประเทศ

               เมล็ดโกโก้เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งของต้นโกโก้ ขณะที่มีการส่งออกเมล็ดโกโก้เพื่อนำไปผลิตแท่งช็อกโกแลต ขนม และเครื่องดื่ม แต่เปลือกของเมล็ดโกโก้ ฝักโกโก้ และของเหลวสีออกเหลืองที่ได้มาในช่วงของการหมัก มักจะถูกทิ้ง ปริมาณของเสียที่มาจากโกโก้ทั่วโลกกำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

               ของเสียเหล่านี้กำลังกลายเป็นส่วนสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนของไอวอรีโคสต์ หลังจากโครงการนำร่องประสบความสำเร็จ ไอวอรีโคสต์ได้เริ่มสร้างโรงงานชีวมวลซึ่งใช้กากโกโก้แล้ว

               โรงงานนี้จะตั้งอยู่ในเมืองดีโว เมืองที่ผลิตโกโก้ส่วนใหญ่ของประเทศ ส่วนประกอบของโกโก้ที่เหลือทิ้งหลังจากการผลิตโกโก้จะถูกนำมาเผาเพื่อขับเคลื่อนใบพัดผลิตกระแสไฟฟ้าที่โรงงานชีวมวล คล้ายกับโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลแบบทั่วไป

               ยาปี โอกู กรรมการผู้จัดการของบริษัท Société des Energies Nouvelles (Soden) ของไอวอรีโคสต์ซึ่งได้มีส่วนร่วมในการก่อสร้างโรงงาน กล่าวว่า "โรงไฟฟ้านี้เพียงแห่งเดียวจะสามารถรองรับความต้องการไฟฟ้าของคนได้ 1.7 ล้านคน"

ส่งเสริมโกโก้

               โรงไฟฟ้าชีวมวลในดีโว จะมีขนาดใหญ่ที่สุดในแถบแอฟริกาตะวันตก และบริษัท Soden ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการค้าและการพัฒนาแห่งสหรัฐฯ (US Trade and Development Agency) มีกำหนดจะสร้างโรงงานนี้แล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2023 โอกู ระบุว่า โรงงานนี้จะสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ระหว่าง 46-70 เมกะวัตต์ ต่อปี การศึกษาความเป็นไปได้แสดงให้เห็นว่า โรงงานนี้อาจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ 4.5 ล้านตัน เมื่อเทียบกับแหล่งพลังงานอื่น ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน

คนงานคัดแยกเมล็ดโกโก้

ที่มาของภาพ,GETTY IMAGES

               ปัจจุบันไอวอรีโคสต์ ได้พลังงานส่วนใหญ่มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล โดย 70% ของพลังงานของประเทศมาจากก๊าซธรรมชาติ

               ไอวอรีโคสต์ตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนมาอยู่ที่ 42% และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 28% ภายในปี 2030 ในประเทศที่ความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นวัตกรรมเช่นการใช้กากโกโก้อาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงขึ้นได้

               โดยรวมแล้ว โครงการนี้ใช้เงินราว 131,000 ล้านฟรังก์ซีเอฟเอ หรือประมาณ 7,595 ล้านบาท จะมีการสร้างโรงงานที่ผลิตไฟฟ้าจากเปลือกโกโก้ที่คล้ายคลึงกันนี้อีก 9 แห่งขึ้นทั่วประเทศ ในพื้นที่ที่มีการปลูกโกโก้ เพื่อที่จะได้มีวัตถุดิบพร้อมส่งให้กับโรงงานได้

               นอกจากการผลิตพลังงานหมุนเวียนแล้ว ยังหวังว่า การเปลี่ยนกากโกโก้ให้กลายเป็นพลังงานจะช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรปลูกโกโก้ราว 600,000 คนของไอวอรีโคสต์ด้วย

               ฟราเซียห์ ซึ่งดูแลโกโก้ 14 เอเคอร์ (ประมาณ 35 ไร่) ในเมืองดีโว เป็นหนึ่งในเกษตรกรเหล่านั้น เธอคิดมาตลอดว่าจะเลิกปลูกโกโก้และหันไปปลูกยางพาราแทน

               เธอไม่ใช่เพียงคนเดียวที่คิดเช่นนี้ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกษตรกรปลูกโกโก้จำนวนมากได้หันไปปลูกพืชชนิดอื่นที่ทำเงินได้มากกว่า อย่าง ยางพาราหรือกล้วย เนื่องจากปริมาณโกโก้ล้นตลาด ซึ่งสถานการณ์นี้เลวร้ายลงในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19

               "ฉันปลูกโกโก้และมันช่วยทำให้ลูกฉันได้เรียนหนังสือ แต่ผลตอบแทนต่ำมาก" เธอเล่า "เราไม่ได้กำไรมากนัก"

               แต่เธอสนับสนุนโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลแห่งใหม่ โดยระบุว่า มันจะทำให้เธอมีรายได้เพิ่มขึ้น และจูงใจให้เธอปลูกโกโก้ต่อไป "เมื่อคิด ๆ ดูแล้ว ฉันเองก็เป็นหม้าย สามีเสียชีวิตไปเมื่อ 18 ปีก่อน รายได้พิเศษจะช่วยให้ฉันส่งหลานทั้ง 4 คนเรียนหนังสือได้ ได้เงินมากขึ้น ฉันก็มีเงินเก็บมากขึ้น"

               นอกจากการเปิดโรงไฟฟ้าแห่งใหม่แล้ว รัฐบาลไอวอรีโคสต์ยังได้เสนอให้จัดตั้งสหกรณ์ชุมชนของเกษตรกรผู้ปลูกโกโก้ กลุ่มเกษตรกรจะสามารถเก็บเงินได้มากขึ้นและเข้าถึงเงินกู้ ได้รับเงินปันผลมาใช้ในการจุนเจือครอบครัวและกิจการ

มือคนถือเมล็ดโกโก้

ที่มาของภาพ,GETTY IMAGES

               โมฮัมเหม็ด อาโดว์ ผู้ก่อตั้งพาวเวอร์ชิฟต์ แอฟริกา (Powershift Africa) หน่วยงานวิจัยที่ตั้งอยู่ในกรุงไนโรบีของเคนยา ซึ่งให้คำแนะนำรัฐบาลต่าง ๆ ทั่วแอฟริกาเกี่ยวกับเรื่องพลังงาน ระบุว่า โครงการของไอวอรีโคสต์เกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญ

               "การนำฝักโกโก้เหล่านี้ไปใช้งานได้อย่างประสบผลสำเร็จ ไม่เพียงแต่จะช่วยทำให้คนเข้าถึงไฟฟ้าได้ถ้วนหน้าเท่านั้น แต่ยังเพิ่มมูลค่าให้กับห่วงโซ่คุณค่าการผลิตโกโก้ นอกเหนือไปจากผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจด้วย" อาโดว์ กล่าว "การเก็บ การขนส่ง การเก็บรักษา และการแปรรูปฝักโกโก้ จะช่วยสร้างงานเพิ่มขึ้น จะช่วยทำให้คนจำนวนมากมีรายได้ที่ดีขึ้น"

               เอสเทอร์ รูโท ผู้จัดการทั่วไปของหน่วยงานการพัฒนาไฟฟ้าชนบทของเคนยา สนับสนุนโรงไฟฟ้าโกโก้เช่นกัน "มันเป็นการดำเนินการที่ดี" เธอกล่าวและระบุว่าการสร้างงานและการลดขยะเป็นข้อดีที่ได้เพิ่มเติมจากโรงงานนี้ "ไอวอรีโคสต์เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่ประสบความสำเร็จของแอฟริกา โดยประชากร 94% เชื่อมต่อกับระบบการจ่ายไฟฟ้าของประเทศได้แล้ว"

               ไอวอรีโคสต์ไม่เพียงแต่เป็นผู้ผลิตโกโก้เท่านั้น แต่ยังนำของเสียของโกโก้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ด้วยในกานา ก็กำลังมีการนำเปลือกโกโก้ไปใช้ผลิตไฟฟ้าแล้วเช่นกันในระดับเล็ก ๆ โจ ดาร์กวา, คาเรน มัวร์ แลเพื่อนนักวิจัย ที่มหาวิทยาลัยนอตติงแฮมของสหราชอาณาจักร ได้พัฒนาเครื่องปั่นไฟขนาดเล็กขนาด 5 กิโลวัตต์ ซึ่งใช้พลังงานจากเปลือกโกโก้

               เป้าหมายคือการทำให้พื้นที่ในชนบทมีไฟฟ้าใช้ ขณะนี้ในพื้นที่เหล่านี้มีคนเข้าถึงไฟฟ้าเพียง 50% เท่านั้น โอกูเล่าว่า ไอวอรีโคสต์ ยังมีแผนการสร้างโรงงานเปลี่ยนเปลือกโกโก้ให้เป็นน้ำมันไบโอดีเซลด้วย

               การหาประโยชน์เพิ่มเติมจากสิ่งที่เป็นของเสียในไอวอรีโคสต์ ซึ่งเป็นประเทศที่ชื่นชอบการเพาะปลูกมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อาจช่วยให้เกษตรกรยังคงปลูกโกโก้ต่อไปอีกหลายปีข้างหน้า แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจจะทำให้การปลูกโกโก้ลำบากขึ้น แต่ในพืชที่เผชิญกับความกดดันหลายอย่างก็ยังคงมีเมล็ดพันธุ์แห่งความหวังอยู่

ที่มา: bbc.com