facebook
icon telephoneCall Center02-141-9790
ค้นหา
icon switch languageภาษา
ขนาดตัวอักษร
การแสดงผล
icon line icon youtube icon tiktok
banner_list
  • 1565

100 บริษัทที่ปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ร้อยละ 71 ของโลก

10 ก.ย. 60

รายงาน Carbon Major Report ทำการวิจัยโดยองค์กรไม่แสวงหากำไร CDP ภายใต้ความร่วมมือกับ Climate Accountability institute ระบุว่า บริษัท 100 แห่งเป็นผู้ปล่อยแก๊สเรือนกระจกสูงถึงร้อยละ 71 ของแก๊สเรือนกระจกที่ปลดปล่อยรวมกันทั่วโลกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531

“ผู้ผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่กุมกุญแจในการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบเกี่ยวกับการปลดปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์” Pedro Faria ผู้จัดการฝ่ายเทคนิค จากองค์กรไม่แสวงหากำไรด้านสิ่งแวดล้อม CDP กล่าว

ตามปกติแล้ว การปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจกปริมาณมากจะจัดเก็บในรูปแบบข้อมูลระดับชาติ แต่รายงานชิ้นนี้จะเน้นไปที่ผู้ผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยรวมข้อมูลจากฐานข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ซึ่งรายงานฉบับดังกล่าวจะเป็นฉบับแรกของรายงานอีกหลายชิ้นซึ่งจะเน้นย้ำบทบาทของบริษัทและนักลงทุนในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

รายงานดังกล่าวพบว่าการปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจกในระดับอุตสาหกรรมนับตั้งแต่ พ.ศ. 2531 ซึ่งเป็นปีก่อตั้งคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) โดยมีข้อมูลเพียง 25 บริษัทและรัฐวิสาหกิจ แต่สัดส่วนการปล่อยแก๊สเรือนกระจกก็มากพอที่จะมีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

บริษัทอย่าง ExxonMobil Shell BP และ Chevron ถูกระบุเป็นบริษัทอันดับต้นๆ ที่ปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และถือหุ้นโดยนักลงทุน หากเชื้อเพลิงฟอสซิลยังถูกขุดในอัตราเช่นเดียวกับในอดีต ต่อเนื่องไปอีก 28 ปี ในรายงานได้ระบุว่าอุณหภูมิโลกเฉลี่ยจะสูงขึ้น 4 องศาเซลเซียสภายในปลายศตวรรษนี้ และจะนำไปสู่ภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่ เช่น การสูญพันธุ์ รวมถึงความเสี่ยงที่จะขาดแคลนอาหาร

ในขณะที่บริษัทมีบทบาทสำคัญในการก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ Pedro Faria ระบุว่า กำแพงสำคัญที่ทำให้ยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงคือแรงกดดันระหว่างการทำกำไรระยะสั้นและความเร่งด่วนในการลดการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์

การศึกษาโดย Carbon Tracker เมื่อ พ.ศ. 2558 พบว่าบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลเสี่ยงที่จะขาดทุนมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในทศวรรษหน้าเนื่องจากการลงทุนอย่างต่อเนื่องในโครงการถ่านหิน น้ำมัน และแก๊สธรรมชาติ ซึ่งอาจสูญเสียมูลค่าทั้งหมดหากต้องเผชิญกับการดำเนินการในระดับโลกเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรวมถึงความก้าวหน้าจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งอาจส่งผลร้ายต่อนักลงทุนในบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิล

CDP ระบุเป้าหมายของการเผยแพร่รายงานคือการเพิ่มความโปร่งใสของผู้ผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลรวมทั้งช่วยให้นักลงทุนเข้าใจความเสี่ยงที่เกิดจากการถือหุ้นในบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิล

หนึ่งในห้าของอุตสาหกรรมที่ปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกได้รับเงินลงทุนจากภาครัฐ โดยในรายงานระบุว่า “บริษัทดังกล่าวยิ่งควรมีความรับผิดชอบที่จะแจ้งต่อนักลงทุนว่าบริษัทได้ลงทุนในโครงการที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมาก รวมทั้งกระตุ้นให้บริษัทเปิดเผยความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” Pedro Faria กล่าว

Michael Brune กรรมการผู้จัดการ Sierra Club องค์กรไม่แสวงหากำไรด้านสิ่งแวดล้อมในสหรัฐอเมริการะบุว่า นักลงทุนควรจะเลิกลงทุนในพลังงานฟอสซิล “เพราะไม่ใช่แค่ความเสี่ยงในเชิงจริยธรรม แต่การลงทุนดังกล่าวยังเสี่ยงในด้านเศรษฐกิจ เพราะโลกกำลังเคลื่อนห่างออกจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลสู่โลกที่ใช้พลังงานสะอาด และกำลังเปลี่ยนผ่านในอัตราเร่ง นักลงทุนที่ยังคงถือหุ้นในบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

“ยังมีกลุ่มบริษัทที่กระทำการสวนทางกับบริษัทตามที่ระบุในรายงาน” Michael Brune กล่าว และอธิบายต่อว่าบริษัทกว่า 100 แห่ง เช่น Apple Facebook Google และ Ikea ได้ให้คำมั่นว่าจะใช้พลังงานหมุนเวียน 100 เปอร์เซ็นต์ ภายใต้โครงการริเริ่ม RE100 และบริษัทอย่าง Volva ก็ประกาศว่าจะผลิตแต่รถพลังงานไฟฟ้าหรือไฮบริดภายในปี พ.ศ. 2562

บริษัทน้ำมันและแก๊สธรรมชาติก็มีส่วนร่วมในขบวนดังกล่าวโดยลงทุนในอุตสาหกรรมเขียว เช่น Shell ที่ก่อตั้งหน่วยธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียนตั้งแต่ พ.ศ. 2558 โดยมีมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 17. พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ตัวแทนของบริษัท Chevron ก็ให้สัมภาษณ์บริษัทมุ่งมั่นในการจัดการการปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจก และลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ 2 โครงการเพื่อดักจับและกักเก็บแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ส่วนบริษัท BP ก็ระบุว่าจะ “เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา” โดยการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและนวัตกรรมคาร์บอนต่ำ ในขณะที่ ExxonMobil ซึ่งเผชิญกับสถิติด้านสิ่งแวดล้อมที่ค่อนข้างแย่ ก็ระบุว่ากำลังศึกษาเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน

แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็ยังเร็วไม่พอ รายงานวิจัยซึ่งเผยแพร่เมื่อปีที่ผ่านมาโดย Paul Stevens จากสถาบันคลังสมอง Chatham House ระบุว่าบริษัทน้ำมันข้ามชาติอาจไม่มีที่ยืนอีกต่อไป และบริษัทดังกล่าวอาจพบจุดจบที่ไม่สวยนักภายในทศวรรษหน้าหากยังไม่เปลี่ยนโมเดลธุรกิจจากหน้ามือเป็นหลังมือ

นักลงทุนปัจจุบันก็มีทางเลือก “อนาคตของอุตสาหกรรมน้ำมันถูกเขียนเอาไว้แล้ว ทางเลือกคือบริษัทจะนำเงินกลับมาให้นักลงทุนโดยนำไปลงทุนในอุตสาหกรรมสำหรับอนาคตจริงๆ หรือเขาแค่หวังว่าจะไม่ใช่คนสุดท้ายที่ออกจากสนามธุรกิจ”

ดูรายชื่อบริษัททั้ง 100 แห่งได้ที่ https://goo.gl/s2BGPX โดยมีบริษัทสัญชาติไทยคือบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ติดอยู่อันดับที่ 83


ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ: http://seub.or.th/