facebook
icon telephoneCall Center02-141-9790
ค้นหา
icon switch languageภาษา
ขนาดตัวอักษร
การแสดงผล
icon line icon youtube icon tiktok
banner_list
  • [image_name]
  • [image_name]
  • [image_name]
  • [image_name]
  • [image_name]

สาเหตุและผลกระทบของภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน 2563

14 เม.ย. 63

     ตลอด 70 ปี ที่ผ่านมา คนเกิดเยอะขึ้น ตายน้อยลง ทำให้จำนวนของประชากรมนุษย์บนโลกเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมถึง 2 เท่า ทำให้เราใช้ทรัพยากรมากขึ้นกว่าเดิม 50% ใช้น้ำมากกว่าเดิม 5 เท่า และเศรษฐกิจโลกโตขึ้นกว่าเดิม 10 เท่า ทำให้เราดึงเอาทรัพยากรของโลกไปใช้มากขึ้น ทั้งดิน น้ำ และอากาศ
     

     แต่ในขณะเดียวกัน ภาวะก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศของโลกก็มากขึ้น เพราะคนเยอะขึ้น อยู่นานขึ้น ใช้มากขึ้น โลกร้อนเกิดจากการมีรูในโอโซน ทำให้ความร้อนเข้ามาในโลกได้มากขึ้น ประกอบกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีมากขึ้น ทำให้เมื่อความร้อนเข้ามา แล้วสะท้อนออกจากโลกไม่ได้ เพราะโดนก๊าซเรือนกระจกกั้นไว้ ถ้าเทียบกับยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม ประมาณ 170 ปีที่แล้ว โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น 0.8 องศา

     การที่โลกร้อนขึ้น ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ อาจทำให้โลกสร้างตัวเองให้ร้อนต่อไปเรื่อย ๆ เรียกว่า Positive feed back คือการเกิดลูกโซ่ในเชิงเพิ่มจำนวนความร้อนให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ผลกระทบที่ตามมา คือ น้ำแข็งละลาย > เพอร์มาฟอสใต้น้ำแข็งปล่อยคาร์บอน ป่าไฟไหม้ > โลกร้อนขึ้นเรื่อยๆ น้ำแข็งละลาย จากเดิมที่พื้นที่สีขาวของน้ำแข็งทำหน้าที่สะท้อนแสงแดดที่ส่องลงมากลับไปสู่บรรยากาศ แต่พอน้ำแข็งละลายจึงทำให้โลกร้อนขึ้นเรื่อย ๆ

มื่อการสะท้อนแสงกลับไปน้อยลง น้ำแข็งละลาย ในแถบขั้วโลกก็มีเพอร์มาฟรอสต์ หรือดินบริเวณที่มีความหนาวเย็นต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ซึ่งจะมีลักษณะเป็นน้ำแข็ง ที่ปกคลุมประมาณ 1 ใน 4 ของขั้วโลกเหนือ พอน้ำแข็งเริ่มละลายก็ส่งผลให้เพอร์มาฟรอสต์ละลายไปด้วย ซึ่งในเพอร์มาฟรอสต์มีปริมาณคาร์บอนมากเป็น 2 เท่าของชั้นบรรยากาศ เมื่อเกิดการละลายคาร์บอนก็จะถูกส่งกลับไปสู่ชั้นบรรยากาศ และจะส่งผลให้โลกร้อนขึ้นอีก เมื่อโลกร้อนขึ้นอีก ความชื้นในบรรยากาศก็จะน้อยลง ทำให้เกิดไฟป่าได้ง่าย ป่าที่เคยมีต้นไม้เพื่อเก็บคาร์บอนเมื่อเกิดไฟไหม้ก็มีที่เก็บคาร์บอนน้อยลง ต้นไม้ที่ถูกเผาก็ยิ่งปล่อยคาร์บอนคืนสู่ชั้นบรรยากาศมากขึ้น

การที่มีคาร์บอนมากขึ้น อาจทำให้คาร์บอนบางส่วนถูกดูดไปอยู่ในมหาสมุทร ซึ่งมากพอที่จะส่งผลให้มหาสมุทรเป็นกรด มีผลต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล เริ่มตั้งแต่เปลือกหอยที่เจอความเป็นกรดก็จะกระดองเสื่อม เปลือกหอยจะอ่อนลง หอยจะตายเยอะขึ้น ห่วงโซ่อาหารจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะสัตว์ทะเลส่วนใหญ่กินหอยเป็นอาหาร

ผลอีกอย่างคือแมงกระพรุนจะมากขึ้นรื่อย ๆ เพราะสามารถเติบโตได้ในน้ำที่เป็นกรด และสิ่งมีชีวิตอีกอย่างที่จะได้รับผลกระทบคือแพลงตอน ที่เป็นอาหารของสัตว์ทะเล และเป็นเครื่องมืออีกอย่างในการดูดคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากอากาศ และปล่อยออกซิเจนออกไปคล้ายต้นไม้ ซึ่งถ้าทะเลเป็นกรดมากขึ้นและมีคาร์บอนมากขึ้น ทำให้แพลงตอนไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ รับอาหารได้น้อยลง ทำให้มันจำนวนน้อยลง เหล่าสัตว์ทะเลจะต้องเปลี่ยนแปลงอาหาร ทำให้ระบบนิเวศน์อาจเสียสมดุล และการที่น้ำทะเลมีความเป็นกรดอาจทำให้ปะการังเปราะลง จนปลาอาจจะไร้ที่อยู่อาศัย



นอกจากนี้การที่เราปล่อยมลภาวะทางน้ำลงทะเลทุกวันจะทำให้เกิด Dead Zone หรือโซนมรณะบริเวณชายฝั่ง เกิดจากการที่เราปล่อยสารเคมีทางการเกษตรที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชซึ่งเป็นน้ำจืดลงไปในน้ำ แล้วน้ำทะเลมีความหนาแน่นกว่าน้ำจืด จะเกิดการแบ่งชั้นของน้ำจืด น้ำจืดที่มีสารเคมีทำให้พืชเจริญเติบโตมันจะไปทำให้สาหร่ายในน้ำเจริญเติบโตปกคลุมผิวน้ำ ทำให้พื้นที่ชายฝั่งในหลายพื้นที่ทั่วโลกเกิดโซนนี้ แล้วพืชหรือสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลที่ต้องการแสงแดดจะไม่ได้รับแสงและตายไป จะนำไปสู่การย่อยสลายที่ทำให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มไปอีก  พอเป็นแบบนี้วนไปเรื่อย ๆ จะทำให้เกิด Dead Zone หรือโซนมรณะ คือน้ำในบริเวณที่สิ่งมีชีวิตไม่สามารถอยู่ได้เลย ซึ่งข้อมูลในปี 2016 กล่าวว่าปัจจุบันโลกมี Dead zone ทั้งหมด 405 แห่งในหลายพื้นที่ทั่วโลกซึ่งเคยเป็นพื้นที่ประมงที่อุดมสมบูรณ์มาก่อน

       ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเหตุที่ทำให้โลกได้รับผลกระทบในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำแข็งขั้วโลกลายลาย ไฟป่า พายุที่พัดเข้าชายฝั่งที่เกิดขึ้นมากในหลายพื้นที่ เป็นสัญญาณเตือนภัยอย่างหนึ่งของธรรมชาติที่บอกเราว่าเราควรจะหันมาใส่ใจและรักษ์โลกกันได้แล้

ที่มาของข่าว ขอขอบคุณ เชียงใหม่นิวส์