facebook
icon telephoneCall Center02-141-9790
ค้นหา
icon switch languageภาษา
ขนาดตัวอักษร
การแสดงผล
icon line icon youtube icon tiktok
banner_list
  • [image_name]
  • [image_name]
  • [image_name]

Krungthai COMPASS แนะธุรกิจใส่ใจสิ่งแวดล้อม ปรับใช้เทคโนโลยีชีวภาพและดิจิทัล รับมือ 3 กระแสเปลี่ยนโลก

09 ก.พ. 64

ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทยชี้การปรับตัวเพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจ ภายใต้แรงกดดันจากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้าที่มีแนวโน้มเข้มข้นมากขึ้นในระยะข้างหน้า พร้อมทั้งยกระดับความสามารถในการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป คาดภาคธุรกิจไทยจำเป็นต้องมีการลงทุนเพิ่มอย่างน้อย 8.2 แสนล้านบาทในช่วง 5 ปีข้างหน้าหรือคิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ย 6% ต่อปี

               ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในขณะที่ ภาคธุรกิจทุ่มเทสรรพกำลังในการพลิกฟื้นจากผลกระทบของวิกฤต  Covid-19 ให้ได้โดยเร็ว แต่ก็ต้องไม่ลืมหันมาเตรียมพร้อมกับ New Normal ด้วยเช่นกันโดยเทรนด์ที่เด่นชัดคือการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่มาพร้อมกับ 3 กระแสเปลี่ยนโลก ได้แก่

                  1) การมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์เพื่อบรรเทาภาวะโลกร้อน

                  2) การพัฒนาระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า และ

                  3) การประยุกต์ใช้ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อยกระดับศักยภาพของธุรกิจ

               ทั้งนี้การลงทุนและปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจที่อยู่บนฐานโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-GreenEconomy) คาดว่าจำเป็นต้องใช้เม็ดเงินลงทุนในเศรษฐกิจไทยเพิ่มอย่างน้อย 8.2 แสนล้านบาทในช่วง 5 ปีข้างหน้าหรือคิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ย 6% ต่อปี ซึ่งจะทำให้สัดส่วนเงินลงทุนต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นได้อีกกว่า 4% จากระดับปัจจุบัน

               “หากธุรกิจไทยใช้ประโยชน์จากฐานเกษตรกรรมและทรัพยากรชีวภาพไทยที่มีความหลากหลาย และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพและดิจิทัลอย่างเหมาะสม ในการพัฒนาและต่อยอดในหลายอุตสาหกรรมบนพื้นฐานของความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จะช่วยยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมและความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างยั่งยืน”

               ดร.ชัยสิทธิ์ อนุชิตวรวงศ์นักวิเคราะห์อาวุโส กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมาประเทศคู่ค้าสำคัญๆ ของไทย เช่น สหภาพยุโรป สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ได้ดำเนินมาตรการภาคบังคับด้านสิ่งแวดล้อมอาทิ มาตรการฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ มาตรฐานการระบายไอเสียของรถยนต์เป็นต้น และล่าสุดสหภาพยุโรปได้ร่างมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนที่เรียกว่า Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) เพื่อปรับราคาของสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศให้สะท้อนปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกระบวนการผลิตของสินค้าที่สูงกว่าการผลิตในสหภาพยุโรปซึ่งจะทำให้ต้นทุนการค้าเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในสินค้าที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง อาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและส่วนแบ่งตลาดของสินค้าไทยหากผู้ประกอบการปรับตัวไม่ทันอย่างไรก็ดีความท้าทายที่เกิดขึ้นอาจจะกลายเป็นโอกาสครั้งสำคัญในหลายประเภทอุตสาหกรรม เช่น เกษตรกรรมและอาหาร ยานยนต์และชิ้นส่วน เคมีภัณฑ์ ยาง และพลาสติก พลังงาน

               “หากผู้ประกอบการปรับรูปแบบธุรกิจให้ใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่นเทคโนโลยีชีวภาพและดิจิทัล ก็จะสร้างประโยชน์แบบ win-win โดยจะช่วยให้ประเทศไทยลดก๊าซเรือนกระจกได้ ในขณะเดียวกันก็เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันภายใต้กฎเกณฑ์ทางการค้าใหม่ๆ ให้กับธุรกิจของตนซึ่งจะเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีของภาคธุรกิจในระยะยาว”

ดาวน์โหลด

 รู้จัก Carbon Border Adjusstmwnt Mechanism : CBAM

 Slide จับตากระแสโลก

 ที่มา : ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย