26 พ.ย. 68
NDC 3.0 จุดเปลี่ยนสำคัญของไทย สู่เป้าหมาย Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี
ใครได้? ใครเสีย? ใครต้องปรับตัว?
.

เมื่อประเทศไทยประกาศยกระดับเป้าหมาย Net Zero จากปีค.ศ. 2065 เป็น 2050 และปรับความเข้มข้นของแผนการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศ หรือ (Nationally Determined Contribution: NDC) ในปี 2035 จาก NCD 2.0 เป็น NDC 3.0 เพื่อสอดคล้องกับความพยายามควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ไม่ให้เกิน 1.5°C ภายในปี 2050 ซึ่งไทยต้องลดก๊าซเรือนกระจกลง 60% เมื่อเทียบกับปีฐาน 2019 หรือต้องลดก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด 109.2 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซต์เทียบเท่า (MtCO2eq) โดยเป็นการลดก๊าซเรือนกระจกด้วยความสามารถภายในประเทศไทยที่ดำเนินการเอง (Unconditional) 76.4 MtCO2eq และจะลดเพิ่มเติมอีก 32.8 MtCO2eq (Conditional) หากประเทศไทยได้รับการสนับสนุนระหว่างประเทศ ภายใต้เป้าหมาย NDC 3.0 รัฐบาลยังอยู่ในระหว่างการศึกษาความเหมาะสมสำหรับการนำกลไก Article 6 ของความตกลงปารีส มาใช้ระหว่างปี 2031-2035 แต่สำหรับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ของประเทศยังคงเป็นปี 2050 เช่นเดิม จากข้อมูลข้างต้น สามารถวิเคราะห์ความพร้อมของประเทศ และสิ่งที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมต้องปรับตัวกับเป้าหมายใหม่ ดังนี้เมื่อประเทศไทยประกาศยกระดับเป้าหมาย Net Zero จากปีค.ศ. 2065 เป็น 2050 และปรับความเข้มข้นของแผนการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศ หรือ (Nationally Determined Contribution: NDC) ในปี 2035 จาก NCD 2.0 เป็น NDC 3.0 เพื่อสอดคล้องกับความพยายามควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ไม่ให้เกิน 1.5°C ภายในปี 2050 ซึ่งไทยต้องลดก๊าซเรือนกระจกลง 60% เมื่อเทียบกับปีฐาน 2019 หรือต้องลดก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด 109.2 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซต์เทียบเท่า (MtCO2eq) โดยเป็นการลดก๊าซเรือนกระจกด้วยความสามารถภายในประเทศไทยที่ดำเนินการเอง (Unconditional) 76.4 MtCO2eq และจะลดเพิ่มเติมอีก 32.8 MtCO2eq (Conditional) หากประเทศไทยได้รับการสนับสนุนระหว่างประเทศ ภายใต้เป้าหมาย NDC 3.0 รัฐบาลยังอยู่ในระหว่างการศึกษาความเหมาะสมสำหรับการนำกลไก Article 6 ของความตกลงปารีส มาใช้ระหว่างปี 2031-2035 แต่สำหรับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ของประเทศยังคงเป็นปี 2050 เช่นเดิม จากข้อมูลข้างต้น สามารถวิเคราะห์ความพร้อมของประเทศ และสิ่งที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมต้องปรับตัวกับเป้าหมายใหม่ ดังนี้
.
ความพร้อมของประเทศไทย จุดแข็งและช่องว่างที่สำคัญ
.
จุดแข็ง • การกำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณที่ชัดเจน: การแจกแจงตัวเลขการปล่อยและลดก๊าซเรือนกระจกตามรายสาขาของประเทศช่วยให้รัฐและเอกชนเห็นทิศทางการลงทุนและเทคโนโลยีที่ต้องให้ความสำคัญ (เช่น สาขาพลังงานและคมนาคมเป็นภาคหลักที่ต้องลดก๊าซเรือนกระจกรวม 90.7 MtCO2eq) และมีการกำหนดเป้าหมายการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกจากประเภทป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน (LULUCF) ที่ 118 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เพื่อจะช่วยให้ประเทศบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 ได้ตามที่ประกาศไว้
• การระบุความต้องการการสนับสนุนทางการเงิน/เทคนิค: ทำให้สามารถออกแบบกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ (เช่น ความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยี การเงินระหว่างประเทศ หรือ Article 6) ได้ชัดเจนขึ้น
.
ช่องว่างสำคัญ • งบประมาณและการลงทุนยังไม่เพียงพอ: เอกสารวิเคราะห์หลายแหล่งชี้ว่า “ช่องว่างการลงทุน” มีขนาดใหญ่ งบประมาณปัจจุบันของภาครัฐ/เอกชนยังห่างจากความต้องการในการพัฒนาเทคโนโลยีการลด/กักเก็บก๊าซเรือนกระจก เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่เป้าหมายอย่างรวดเร็ว
• โครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีบางด้านยังไม่พร้อม: เช่น ระบบสายส่งไฟฟ้า (เพื่อรองรับพลังงานหมุนเวียนและรถยนต์ไฟฟ้า), โรงไฟฟ้า/อุตสาหกรรมที่ต้องใช้เทคโนโลยี Carbon Capture, Utilization and Storage (CCUS) , ห่วงโซ่อุปทานแบตเตอรี่/ไฮโดรเจน เป็นต้น
• แรงงานและทักษะ: ต้องเร่งพัฒนาสร้างแรงงานทั้ง Soft Skills และ Hard Skills ให้มีทักษะด้าน Sustainability พลังงานหมุนเวียน การออกแบบโครงการคาร์บอนต่ำ และการติดตั้ง/บำรุงรักษาเทคโนโลยีใหม่ เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero อย่างยั่งยืน
แล้วการปรับเป้าหมายนี้ใครได้ประโยชน์ ใครต้องปรับตัว อย่างไรบ้าง
,
1. ผู้ได้ประโยชน์ / โอกาส
.
• ธุรกิจที่เกี่ยวกับ พลังงานหมุนเวียน, ระบบกักเก็บพลังงาน, ระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ, ยานยนต์ไฟฟ้า และ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโซลูชั่นประหยัดพลังงาน• อุตสาหกรรมที่สามารถปรับเป็น Bio-based / Circular หรือใช้เชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำ
• ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีโลว์คาร์บอน เช่น CCU/CCS, ไฮโดรเจนเขียว, เทคโนโลยีวัตถุดิบทดแทน
2. ผู้ที่ต้องเร่งปรับตัวอย่างมาก.
• อุตสาหกรรมหนัก ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ๆ เช่น เหล็ก-ปูนซีเมนต์-ปิโตรเคมี-ปิโตรเลียม เป็นต้น อุตสาหกรรมเหล่านี้ต้องปรับกระบวนการหรือเปลี่ยนเชื้อเพลิง/วัตถุดิบ
• ธุรกิจที่พึ่งพาฟอสซิลเชิงตรง เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหิน, โรงกลั่นน้ำมัน เสี่ยงถูกลดบทบาทหรือกลายเป็นสินทรัพย์ที่สูญเสียมูลค่า หรือไม่สามารถทำให้เป็นกำไรได้อีกต่อไป (Stranded assets) หากไม่มีแผนเปลี่ยนผ่าน
• ภาคขนส่งที่พึ่งพาน้ำมัน ต้องเปลี่ยนมาสู่ไฟฟ้า/เชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำ พร้อมโครงสร้างพื้นฐานชาร์จ/เชื้อเพลิงทางเลือก
.
แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการ ที่ต้องทำทันที และวางแผนในระยะยาว.
1. ประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Scope 1-3) อย่างเป็นระบบ เพื่อรู้แหล่งการปล่อยทั้งหมดขององค์กรว่ามีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไหร่ อะไรเป็นแหล่งปล่อยที่มีนัยสำคัญ
2. ตั้งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกด้วยตัวเองตามแนวทางบนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ (Science-based / Net-Zero aligned) และผสานเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกเข้าไปในกลยุทธ์ธุรกิจ เช่น การปรับเปลี่ยนเครื่องจักร/เทคโนโลยีเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก การเพิ่มแหล่งพลังงานหมุนเวียนในองค์กร การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของวัตถุดิบ เป็นต้น
3. หาเทคโนโลยีและพันธมิตร พิจารณาซื้อเทคโนโลยี CCUS, ระบบ Battery Energy Storage System (BESS) , การจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Power Purchase Agreement: PPA)
4. เตรียมความพร้อมด้านการเงินและแหล่งเงินทุน เช่น กองทุนภูมิอากาศสีเขียว สถาบันการเงินที่ให้กู้เงินเงื่อนไขคาร์บอนต่ำ หรือการขายคาร์บอนเครดิต (ทั้งในและต่างประเทศ)
5. การพัฒนาทักษะแรงงาน จัด training, reskilling เพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ
6. มุ่งพัฒนากำลังคน ต้องปรับและยกระดับทักษะที่เกี่ยวข้องใน Area ด้าน Climate Change /Climate Action /Sustainable โดยต้องมีทักษะสีเขียว (Green Skill) ในทุกอาชีพ
7. ร่วมมือกับภาครัฐ/ชุมชน ด้านนโยบาย สิทธิประโยชน์ภาษี งานวิจัยร่วม และการร่วมรับผิดชอบต่อสังคม
บทบาทของ TGO ในการช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนประเทศให้บรรลุเป้า Net Zero.
1. ยกระดับคาร์บอนเครดิต Premium T-VER ให้ได้รับการยอมรับในระดับสากล
2. พัฒนาระเบียบวิธีการลดก๊าซเรือนกระจกให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
3. พัฒนาเครื่องมือการตรวจสอบ Digital MRV หรือนำ AI มาประยุกต์ใช้มากขึ้น
4. ส่งเสริมขีดความสามารถของ SMEs ในการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการแข่งขัน
5. ขยายความร่วมมือด้านตลาดคาร์บอนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
6. เพิ่มอรรถประโยชน์ของคาร์บอนเครดิต เช่น การซื้อขายคาร์บอนเครดิตแบบโทเคนดิจิทัล เป็นต้น
7. ยกระดับการชดเชยคาร์บอน เช่น การท่องเที่ยวแบบ Low Carbon การกีฬาลดดโลกร้อน งาน Event แบบยั่งยืน เป็นต้น
อ้างอิง: .
1. กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
2. องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)