องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) เปิดเผยเมื่อวันที่ 3 ต.ค. ว่า จากการศึกษาเรื่อง “การธนาคารอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน: ปัญหาและอุปสรรค” พบว่า แนวทางปฏิบัติของธนาคารต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน ไม่สะท้อนคำมั่นสัญญาที่คณะกรรมการของชาติต่างๆ ให้ไว้ว่าจะมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศโลกและสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน
จากการศึกษา พบว่า มีธนาคารเพียง 21 แห่ง จาก 34 แห่ง ในอาเซียน ที่รับทราบว่าธุรกิจที่ตนให้เงินสนับสนุนลงทุนในกิจการที่ส่งผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม แต่ไม่มีธนาคารใดยอมเปิดเผยว่า ทางธนาคารจะมีมาตรการจัดการความเสี่ยงของผลกระทบที่เกิดขึ้นในระดับพอร์ตการลงทุนอย่างไร
นอกจากนี้ แม้ว่าจะมีธนาคาร 26 แห่ง ระบุถึงแนวทางการสร้างความยั่งยืนในแผนยุทธศาสตร์และวิสัยทัศน์ของธนาคาร แต่มีเพียง 12 แห่ง เท่านั้น ที่ตระหนักถึงความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศต่อภาคธุรกิจและภาคสังคมอย่างจริงจัง ที่สำคัญมีธนาคารเพียงแห่งเดียวที่แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงให้ดูแลความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศโดยเฉพาะ โดยผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ต่างคาดหวังให้ธนาคารเปิดเผยข้อมูลการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศในผลการรายงานประจำปีของธนาคารมากขึ้นกว่านี้
รายงานดังกล่าวจัดทำขึ้นโดย WWF ร่วมกับศูนย์การศึกษาด้านธรรมภิบาล, สถาบัน และองค์กรเพื่อความยั่งยืน (Centre for Governance, Institutions and Organisations: CGIO) ภายใต้สำนักวิชาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยแห่งชาติของสิงคโปร์ (NUS Business School) โดยเล็งเห็นว่า ธนาคารต่างๆ ในอาเซียนเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้รัฐบาลในประเทศของตน สามารถบรรลุเป้าหมายเรื่องการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศโลกและเดินหน้าสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ตามที่ได้ให้สัตยาบันร่วมกันไว้ก่อนหน้า
WWF ยังเรียกร้องด้วยว่า ภาคการธนาคารในภูมิภาคอาเซียนควรมีแนวทางการบริหารและจัดการด้านความยั่งยืนที่ชัดเจน เพื่อป้องกันวิกฤติการด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างแน่นอน ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในภูมิภาค ที่ผ่านมาแม้ว่าหลายรัฐบาลในอาเซียนจะพยามยามดำเนินนโยบายเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม แต่หากธนาคารยังไม่มีกรอบการทำงานเพื่อจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน ในระยะยาวก็จะส่งกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของธนาคารและลูกค้าของธนาคารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในที่สุด
WWF ยังร้องขอให้ธนาคารผนวกรวมแนวคิดเรื่องความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมภิบาล (Environment, Social and Governance: ESG) ลงในแผนยุทธศาสตร์การทำงานระยะยาวของธนาคาร เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในพอร์ตโฟลิโอ (Portfolio) ธนาคาร ควรมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (Paris Agreement) และเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDG) ของสหประชาชาติรวมอยู่ด้วย
Jeanne Stampe หัวหน้าฝ่ายการเงินและสินค้าโภคภัณฑ์ของ WWF กล่าวว่า “ประเทศต่างๆ จะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ และข้อตกลงปารีส ที่พยายามรักษาการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้น้อยลงจนต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียสได้ หากธนาคารพาณิชย์ไม่มีแผนปฏิบัติการที่ชัดเจนในตอนนี้ และวางพัฒนาแนวทางการธนาคารอย่างยั่งยืนให้ได้ภายใน 12 เดือนข้างหน้า”
นอกจากนี้ WWF ยังเสนอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบกำกับดูแลของอาเซียนปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ด้านการเงินที่ยั่งยืนอย่างเคร่งครัด เพื่อให้มั่นใจว่าภาคการธนาคารจะสามารถบรรลุเป้าหมายต่างๆ ที่ตั้งไว้ได้จริง โดยปัจจุบันมี เพียง 6 ประเทศ ที่สนับสนุนการผนวกรวมเรื่อง ESG ลงในหลักการ ขณะที่ในหลายประเทศยังไม่มีหลักการปฏิบัติที่ชัดเจน
ทางด้านยิ่งยง วิทยานานันท์ ผู้จัดการโครงการการลงทุนอย่างยั่งยืน ประจำ WWF-ประเทศไทย กล่าวว่า “ รายงานฉบับนี้จะช่วยให้ธนาคารในประเทศไทยเห็นแนวโน้มและพัฒนาด้าน ESG ของธุรกิจธนาคารในภูมิภาคได้ชัดเจนมากขึ้น และช่วยให้ธนาคารสามารถกำหนดแผนการพัฒนา ESG ของตนเองให้สอดคล้องกับทิศทางของโลกที่กำลังมุ่งไปสู่การสร้างความยั่งยืน โดย WWF ประเทศไทย ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะทำงานร่วมกับธนาคารทุกแห่ง ในการสนับสนุนแผนงานด้าน ESG ในประเทศ”
ทั้งนี้ ผลการศึกษาของธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank) เมื่อปีที่ผ่านมา ระบุชัดเจนว่า ภายในปี 2643 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจต่อปี เท่ากับ ร้อยละ 6.7 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของอาเซียน สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.6 เปอร์เซ็นต์ ภาคการธนาคารของอาเซียน จึงต้องเข้ามามีบทบาทในการป้องกันความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของอาเซียน จากการเพิ่มการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากฟอสซิล การเปลี่ยนพื้นที่ป่าไม้เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตร และสร้างเขื่อนพลังไฟฟ้าพลังน้ำ
ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ: https://greennews.agency