เป็นที่รับรู้กันว่า ม.มหิดล ขับเคลื่อนเรื่องมหาวิทยาลัยสีเขียว หรือ Green Campus มานานกว่า 6 ปี โดยดำเนินการปรับปรุงหลายด้านอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งภูมิทัศน์ ระบบสัญจร ระบบสาธารณูปโภค จนติดอันดับ UI Green Metric World University Ranking ในปี 2555 และ 2556
นอกจากนั้น ม.มหิดลยังขยับเป้าหมายสู่มหาวิทยาลัยเชิงนิเวศ (Eco University) ส่วนหนึ่งของการดำเนินงานคือร่วมมือกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ด้วยการจัดทำโครงการคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร อันเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมในเชิงปริมาณ โดยนำผลที่ได้ไปใช้กำหนดแนวทางการบริหารจัดการ เพื่อดำเนินกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ
"ศ.คลินิก น.พ.อุดม คชินทร" อธิการบดี ม.มหิดล กล่าวว่า หลักสำคัญในการเป็น Eco University คือการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงการเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ กระนั้น ปัจจุบันปริมาณรถยนต์เข้ามาในมหาวิทยาลัยมีจำนวนเพิ่มขึ้น ทั้งยังมีการก่อสร้างมากขึ้นจากการขยายตัวของมหาวิทยาลัย รวมถึงนักศึกษาที่เพิ่มขึ้นจึงทำให้มีการใช้ทรัพยากรสูงขึ้นด้วย
อย่างไรก็ดี การลดใช้ทรัพยากรอาจไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมดีที่สุด จึงควรปรับแนวคิดว่าทำอย่างไรให้มีการใช้ที่เกิดประโยชน์สูงสุด และปล่อยของเสียสู่สิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
มหาวิทยาลัยมหิดลจึงมีโครงการจัดทำคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร โดยเริ่มต้นจากคณะ หรือส่วนงานให้เกิดเป็น Low Carbon Faculty แล้วขยายสู่วิทยาเขต เป็น Green Campus จากทั้ง 6 วิทยาเขตของมหาวิทยาลัย ให้เป็น Eco University เพื่อเชื่อมโยงยังชุมชนรอบข้าง และเครือข่ายความร่วมมือต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย ให้เกิดเป็น Eco Town
"เดิมมหาวิทยาลัยเน้นเรื่องภูมิทัศน์ อย่างการมีต้นไม้เพิ่มขึ้น เพื่อลดการใช้กระดาษ น้ำ ไฟฟ้า เราทำได้ดีขึ้นต่อเนื่องแต่เราไม่เคยวัดผลสิ่งที่เราทำ การทำคาร์บอนฟุตพรินต์ทำให้เรายกระดับตัวเองมาอีกระดับหนึ่ง ไม่เพียงเป็นการปลูกฝังกับการปฏิบัติตนแค่ในมหาวิทยาลัย เรายังกระตุ้นให้เกิดการนำแนวคิดเรื่องนี้ไปใช้กับที่บ้าน ตลอดจนการขยายผลออกไปยังชุมชนรอบมหาวิทยาลัย"
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของการทำคาร์บอนฟุตพรินต์ คือ แต่ละวิทยาเขตมีบริบทที่แตกต่างกัน ซึ่งอธิการบดี ม.มหิดล มองว่า จากวิทยาเขตศาลายา, พญาไท, บางกอกน้อย, กาญจนบุรี, อำนาจเจริญ และนครสวรรค์ วิทยาเขตที่ถือว่าดำเนินการได้ค่อนข้างยาก คือ วิทยาเขตบางกอกน้อย และพญาไท เพราะมีโรงพยาบาลศิริราชและโรงพยาบาลรามาธิบดี จึงทำให้การทำงานมีความซับซ้อน กระนั้น มหาวิทยาลัยกำลังหากระบวนการที่จะเข้าไปช่วยเหลือ เพื่อให้การทำคาร์บอนฟุตพรินต์เป็นไปได้ง่ายขึ้น
"ปัจจุบันเราลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ภายในมหาวิทยาลัยประมาณ 4% แต่ตั้งเป้าไว้ว่าอีก 4 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2562 ต้องลดลง 7-10% ซึ่งมหิดลเป็นมหาวิทยาลัยแรกของไทยที่มีการวัดผลแบบนี้ ซึ่งล้อไปกับเทรนด์ของโลก เพราะต่างประเทศมองว่า KPI หนึ่งของเรื่องความยั่งยืนคือลดก๊าซเรือนกระจก หากองค์กรไม่มีเรื่องนี้ เขาจะไม่นับว่าองค์กรนั้น ๆ มีความยั่งยืน"
"ศ.คลินิก น.พ.อุดม" กล่าวเพิ่มเติมว่าการทำให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นเป้าหมายสูงสุดของการทำคาร์บอนฟุตพรินต์ ซึ่งความยั่งยืนขององค์กรไม่ใช่แค่การมีผลประกอบการดี แต่ต้องรักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนด้วย คาร์บอนฟุตพรินต์จึงเป็นตัวสำคัญที่จะช่วยวัดผล อันนำไปสู่การปรับปรุงการดำเนินการต่าง ๆ ที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก ส่งผลให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยไม่ใช่ยั่งยืนเฉพาะองค์กร แต่สร้างความยั่งยืนไปพร้อมกับสังคมรอบด้าน
"มหาวิทยาลัยระดับนานาชาติมองถึงการสร้างกรอบความคิดเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อมให้นักศึกษาก่อนออกไปทำงาน ในฐานะที่เราเป็นแหล่งผลิตบัณฑิตเข้าสู่อุตสาหกรรม หากนักศึกษาไม่มีกรอบแนวคิดเรื่องนี้คงเป็นเรื่องลำบาก เราจึงวางแผนว่าจะสอดแทรกเรื่องเหล่านี้ในวิชาพื้นฐาน รวมถึงการปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่จะบอกว่ามหาวิทยาลัยมีนโยบายเรื่องนี้อย่างไร เมื่อเข้ามาแล้วควรปฏิบัติตนอย่างไรให้สอดคล้องกับที่นี่ ทั้งจะต้องสร้างความตระหนักให้นักศึกษาเห็นความสำคัญของข้อจำกัดด้านทรัพยากรธรรมชาติ โดยชี้ให้ทราบว่าทุกกิจกรรมที่เขาทำล้วนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น"
สำหรับแผนการดำเนินงานเรื่อง Eco University "รศ.ดร.กิติกร จามรดุสิต" รองอธิการบดีฝ่ายสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา ม.มหิดล กล่าวเสริมว่า มหาวิทยาลัยจัดทำแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการเพื่อความยั่งยืน ปี 2558-2562 โดยมี 3 กลยุทธ์สำคัญ เริ่มด้วยการส่งเสริมให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร (Resources Efficiency) โดยจะให้ความสำคัญกับการลดปริมาณกากของเสีย เน้นการใช้ประโยชน์ที่ดิน และการควบคุมอาคาร รวมถึงจัดทำฐานข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกันยังมีกลยุทธ์ด้านการส่งเสริมความเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) และการส่งเสริมให้เกิดพันธกิจสัมพันธ์กับชุมชน (Community Engagement) ทั้งการถ่ายทอดองค์ความรู้และการศึกษา การวิจัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมให้เกิดงานวิจัยสีเขียว ด้านความปลอดภัยและความเสี่ยง ตลอดจนการสนับสนุนโยบายความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม
"สิ่งที่กำลังจะทำคือ Organic Food ให้ชาวบ้านมาปลูกผักในมหาวิทยาลัย และมีนโยบายให้นักศึกษาปลูกผักเอง แล้วเราจะคุยกับร้านอาหารว่า ขอคิดค่าปรุงฟรีได้หรือไม่ เพื่อให้นักศึกษาได้กินของไม่มีสารพิษ เนื่องจากเรามีคณะเทคนิคการแพทย์และสถาบันโภชนาการที่สามารถเข้ามาช่วยตรวจวัดปริมาณสารเคมี เพื่อคนจะได้กินผักปลอดสารพิษ"
ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ม.มหิดล มีโครงการด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้แก่ ธนาคารขยะรีไซเคิล, ปุ๋ยหมักชีวภาพ, แปลงผักปลอดสารพิษ, จักก้าเซ็นเตอร์และจักรยานสีขาว (จักรยานสาธารณะ), บริการขนส่งสาธารณะ (รถรางNGV), การงดใช้กล่องโฟมในพื้นที่มหาวิทยาลัย, การจัดระบบบำบัดน้ำเสียในทุกอาคาร เป็นต้น
"ผมมองว่าคาร์บอนฟุตพรินต์เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเมื่อเราไปเวทีต่างประเทศ เราพูดว่ามหาวิทยาลัยลดการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ และช่วยลดการเกิดก๊าซเรือนกระจก แต่เรากลับไม่มีตัวชี้วัดให้เขาเห็น ซึ่งผลจากการทำคาร์บอนฟุตพรินต์จะบอกถึงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงอย่างเป็นรูปธรรมของมหิดล โดย 3-4 ปีนี้ ทางกองกายภาพและสิ่งแวดล้อมจะนำเรื่องนี้เข้าไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย เพื่อให้เกิดความรู้และความเข้าใจในการสร้างมหิดลให้เกิดความยั่งยืน"
อันเป็นการตอกย้ำแบรนด์ "ม.มหิดล" ให้ยิ่งโดดเด่นทั้งในเวทีระดับประเทศและนานาชาติ
ที่มาของข่าวและรูปภาพประกอบ: http://www.prachachat.net