facebook
icon telephoneCall Center02-141-9790
ค้นหา
icon switch languageภาษา
ขนาดตัวอักษร
การแสดงผล
icon line icon youtube icon tiktok
banner_list
  • 576

1 ใน 3 แหล่งน้ำสำรองโลก เสี่ยงถูกใช้จน "เหือดแห้ง"

08 ก.ค. 58

มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เผยแพร่ผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสภาวะแหล่งน้ำสำรองของโลกในชั้นหินอุ้มน้ำ (แอควิเฟอร์) ซึ่งอาศัยข้อมูลหลักจากดาวเทียมสำรวจโลกขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) ระบุว่า แอ่งน้ำใต้ดินขนาดใหญ่ที่สุดของโลกในชั้นหินอุ้มน้ำราว 1 ใน 3 จากจำนวนทั้งหมด 37 แหล่ง กำลังเหือดแห้งเพราะถูกดูดขึ้นมาใช้ ในขณะที่แทบไม่มีน้ำใหม่ไหลเข้าไปเติมเพื่อทดแทนการใช้ดังกล่าวเลย ส่งผลให้มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดการขาดแคลนหนัก ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อเกษตรกร แต่กระทบไปถึงการใช้ชีวิตประจำวันด้วย

ทั้งนี้ แหล่งน้ำ 8 แหล่ง ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม "เสี่ยงสูงมาก" เพราะแทบไม่มีน้ำเติมเข้ามาสู่แหล่งน้ำ ในขณะที่อีก 5 แหล่ง อยู่ในกลุ่ม "เสี่ยงสูง" เพราะแม้จะมีน้ำใหม่เติมเข้ามาแต่ยังไม่สามารถทดแทนปริมาณที่ถูกสูบขึ้นไปใช้ได้ทัน

แหล่งน้ำในระดับชั้นหินอุ้มน้ำมีปัญหาจากการนำน้ำขึ้นมาใช้ในครัวเรือน,เพื่อการเกษตรกรรม และใช้เพื่ออุตสาหกรรมมากจนเกินไป ในขณะที่น้ำจากผิวดินไม่สามารถซึมกลับลงไปเติมให้กับแหล่งน้ำใต้ดินทั้งในส่วนที่เป็นแหล่งน้ำบาดาลหรือแหล่งน้ำใต้ดินชั้นหินอุ้มน้ำได้มากพอ

แหล่งน้ำที่เสี่ยงต่อการเหือดแห้งมากที่สุดเป็นระบบชั้นหินอุ้มน้ำอาระเบียซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนไม่น้อยกว่า 60 ล้านคนในซาอุดีอาระเบีย, อิรัก, กาตาร์, ซีเรีย และประเทศอื่นๆ ใกล้เคียง รองลงมาคือชั้นหินอุ้มน้ำ อินดัส เบซิน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียและปากีสถาน ต่อด้วยแอ่งน้ำเมอร์ซุค-จาโด ตอนเหนือของทวีปแอฟริกา

ในขณะที่แหล่งน้ำชั้นหินอุ้มน้ำเซ็นทรัล วัลเลย์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ที่ประสบภาวะแล้งจัดจนขาดแคลนน้ำต่อเนื่องมา 4 ฤดูกาลแล้ว จัดเป็นแหล่งที่มีความเสี่ยงสูง แต่ยังไม่เลวร้ายเท่ากับแหล่งน้ำในแอฟริกาตอนเหนือและตะวันออกกลาง

อเล็กซานดรา ริชีย์ หนึ่งในทีมศึกษาวิจัยและเป็นผู้เขียนรายงานผลการศึกษาทั้งสองชิ้น ตั้งข้อสังเกตว่า พื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงสุดทั้งหมดนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีการแห้งแล้งที่สุดในโลกเป็นทุนเดิมอยู่แล้วประชากรส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาแหล่งน้ำใต้ดินเพราะปริมาณฝนไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูกและการอุปโภคบริโภค ทั้งยังเป็นพื้นที่ที่มีความขัดแย้งทางการเมืองอยู่ในระดับสูงอยู่ก่อนแล้ว และการขาดแคลนน้ำจะยิ่งก่อให้เกิดปัญหาเชิงสังคมทวีความรุนแรงและเข้มข้นมากขึ้นไปอีกได้ การขาดแคลนน้ำอย่างหนักยังส่งผลกระทบต่อชีวิตสัตว์ป่าและระบบนิเวศทางธรรมชาติด้วยเช่นกัน

นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่าประเด็นสำคัญที่ต้องศึกษาค้นคว้าต่อไปก็คือการประเมินปริมาณน้ำที่เหลืออยู่ใต้ดินว่ามีอยู่เท่าใด การที่ไม่สามารถประเมินปริมาณน้ำที่หลงเหลืออยู่ในชั้นหินอุ้มน้ำของแหล่งน้ำใต้ดินได้นั้น ถือเป็นความไม่แน่นอนที่ไม่สามารถยอมรับได้ในยุคที่เกิดการขาดแคลนเช่นนี้

อนึ่ง การศึกษาวิจัยทั้งสองครั้งถือเป็นครั้งแรกที่มีการศึกษาวิจัยสภาพการสูญเสียน้ำของแหล่งน้ำใต้ดินโดยอาศัยข้อมูลจากอวกาศด้วยการวัดแรงกระแทกต่อแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งเกิดขึ้นจากน้ำหนักของมวลน้ำที่แตกต่างกันออกไปในพื้นที่ต่างๆ นั่นเอง


ที่มาของข่าวและรูปภาพประกอบ:: http://www.prachachat.net