Apple นำเงินมูลค่า 4.7 พันล้านเหรียญสหรัฐจาก Green Bond ไปใช้ในการสร้างพลังงานสะอาด 1.2 กิกะวัตต์
“Apple มุ่งมั่นที่จะปกป้องโลกของเราด้วยโซลูชันที่สนับสนุนชุมชนที่เราทำงานอยู่” ลิซ่า แจ็คสัน รองประธานฝ่าย Environment, Policy และ Social Initiativesของ Apple กล่าว “เราทุกคนมีหน้าที่ในการทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการลงทุนมูลค่า 4.7 พันล้านเหรียญสหรัฐที่ได้รับจาก Green Bond ก็เป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญในความพยายามของเรา สุดท้ายแล้ว พลังงานสะอาดถือเป็นธุรกิจที่ดี”
Apple ได้นำรายได้จากการออก Green Bonds สามฉบับไปสนับสนุนโครงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลก นับตั้งแต่เกิดข้อตกลงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งประวัติศาสตร์ในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP21) ประจำปี 2015 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2016 บริษัทได้ออก Green Bond มูลค่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐเป็นครั้งแรก ตามด้วยรอบที่สองซึ่งมีมูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐในเดือนมิถุนายน 2017 หลังจากที่อดีตฝ่ายบริหารของสหรัฐอเมริกาประกาศความตั้งใจที่จะถอนตัวจากข้อตกลงของ COP21 ในเดือนพฤศจิกายน 2019 Apple ได้ออก Green Bond ชุดที่สามและเป็นครั้งแรกในยุโรปโดยประกอบด้วยพันธบัตร 2 ชุด ชุดละ 1 พันล้านยูโร (มูลค่ารวมประมาณ 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ)
นอกเหนือจากรายละเอียดที่แสดงในรายงาน Green Bond Impact ของ Apple แล้ว Apple ยังให้การสนับสนุนโครงการใหม่ๆ ที่สนับสนุนการออกแบบและวิศวกรรมแบบคาร์บอนต่ำ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้พลังงานหมุนเวียน การลดคาร์บอน และการกักเก็บคาร์บอนอย่างต่อเนื่องอีกด้วย Apple ได้จัดสรรงบประมาณที่ได้จากการออก Green Bond ไว้กว่าครึ่ง นั่นคือ 2.8 พันล้านเหรียญสหรัฐและจะยังคงลงทุนในโครงการที่แก้ปัญหาเรื่องการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่อไป เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดเผยแผนในการทำให้ธุรกิจทั้งหมด รวมทั้งซัพพลายเชนการผลิต และวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์มีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2030 โดยปัจจุบัน การดำเนินงานขององค์กรทั่วโลกของ Apple มีความเป็นกลางทางคาร์บอนอยู่แล้ว และพันธกิจใหม่นี้หมายความว่าอุปกรณ์ทั้งหมดที่ Apple จำหน่ายจะต้องไม่ส่งผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้นต่อสภาพอากาศภายในปี 2030
การลงทุนล่าสุดของ Apple ในด้านพลังงานหมุนเวียน
โครงการโซลาร์ในไซต์งานนอกเมืองเรโน รัฐเนวาดา: ไซต์งานขนาด 180 เอเคอร์ที่ตั้งอยู่ภายใน Reno Technology Park กำลังผลิตพลังงานแก่ศูนย์ข้อมูลเนวาดาของ Apple โครงการนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็น “โครงการระดับยูทิลิตี้แห่งปี” โดยนิตยสาร Solar Builder เพราะเป็นโครงการที่ช่วยสร้างงานก่อสร้างด้านพลังงานสะอาดถึง 236 ตำแหน่ง ให้กับผู้คนซึ่งมากกว่า 90% เป็นผู้อยู่อาศัยในเนวาดา และสร้างการลงทุนมากกว่า 60 ล้านดอลลาร์ใน Washoe County ไซต์นี้สามารถผลิตพลังงานหมุนเวียน 50 เมกะวัตต์ให้กับ Apple และเมื่อคิดรวมกับพลังงานสะอาดที่ผลิตในโครงการเนวาดาอื่นๆ จะได้ถึง 270 เมกะวัตต์
ฟาร์มกังหันลมนอกเขตชิคาโก้: สัญญาซื้อขายไฟฟ้าเสมือนจริงปริมาณ 112 เมกะวัตต์กับฟาร์มกังหันลมในรัฐอิลลินอยส์แห่งนี้เป็นแหล่งไฟฟ้าของ Apple ในเขตชิคาโก้ โครงการนี้ได้มีการรวมกลุ่มผู้ซื้อเข้ามา จึงทำให้บริษัทอื่นๆ ที่มีกำลังซื้อน้อยสามารถเข้าถึงพลังงานหมุนเวียนคุณภาพสูงได้เช่นเดียวกับ Apple
โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในเมือง Fredericksburg รัฐเวอร์จิเนีย: Apple ได้ตกลงร่วมมือกับ Etsy, Akamai และ SwissRE เพื่อพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนโดยใช้แสงอาทิตย์เพื่อผลิตไฟฟ้าขนาด 165 เมกะวัตต์นอกเมือง Fredericksburg รัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งตอนนี้เริ่มจ่ายพลังงานไปยังกริดไฟฟ้าในภูมิภาคแล้ว
กังหันลมบนบกที่ใหญ่ที่สุดในเดนมาร์ก: Apple ก่อสร้างกังหันลมบนบกที่ใหญ่ที่สุดในโลก 2 แห่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานทดแทนที่สะอาดและตอนนี้กำลังใช้งานอยู่ กังหันลมสูง 200 เมตรที่ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองเอสบีเยร์ของเดนมาร์กนี้คาดว่าจะผลิตไฟฟ้าได้ 62 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี ซึ่งเพียงพอที่จะจ่ายไฟให้บ้านเกือบ 20,000 หลัง และยังทำหน้าที่เป็นสถานที่ทดสอบกังหันลมนอกชายฝั่งที่ทรงพลังอีกด้วย ไฟฟ้าที่ผลิตในเอสบีเยร์จะจ่ายให้กับ ศูนย์ข้อมูลของ Apple ในวีบอร์กโดยพลังงานส่วนเกินจะจ่ายไปยังกริดของเดนมาร์ก
รายงานผลกระทบประจำปีของ Apple จะกล่าวถึงการจัดสรรรายได้จากตราสารหนี้ Green Bond ปี 2019 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมในระหว่างวันที่ 29 กันยายน 2019 ถึง 26 กันยายน 2020 ซึ่งเป็นปีงบประมาณ 2020 ของ Apple รายงานผลกระทบของตราสารหนี้ Green Bond, การอัปเดตในปีงบประมาณ 2020 อยู่ใน investor.apple.com.
Apple มีการปฏิวัติเทคโนโลยีสำหรับส่วนบุคคลด้วยการเปิดตัวเครื่อง Macintosh ในปี 1984 ในวันนี้ Apple คือผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมด้วย iPhone, iPad, Mac และ Apple Watch สี่แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ของ Apple — iOS, OS X, watchOS และ tvOS — ให้ประสบการณ์ที่ราบรื่นในทุกอุปกรณ์ Apple และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับบุคคลด้วยบริการที่ก้าวล้ำรวมถึง App Store, Apple Music, Apple Pay และ iCloud พนักงานของ Apple นับแสนคนทุ่มเทสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดในโลกเพื่อให้โลกเป็นโลกที่ดีกว่า
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ