21 ธ.ค. 67

COP29 หรือการประชุมสมัชชารัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 29 (Conference of the Parties) เป็นอีกก้าวสำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลลัพธ์ที่ได้จากการประชุมครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนทั่วโลกในระยะยาว หนึ่งในไฮไลท์สำคัญของ COP29 คือการตกลงกันเรื่องเป้าหมายการเงินของบากู ซึ่งเป็นข้อผูกพันใหม่ในการจัดหาเงินทุนเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมูลค่ามหาศาลให้กับประเทศกำลังพัฒนา โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มเงินทุนให้มากขึ้นจากเดิม เพื่อช่วยให้ประเทศเหล่านี้สามารถรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังมีข้อตกลงที่น่าสนใจอีกหลายประการ เช่น ประเทศต่าง ๆ ได้ตกลงที่จะเร่งรัดมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีเป้าหมายเพื่อจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ตามที่ได้ตกลงกันไว้ในความตกลงปารีส การส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและการส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจากประเทศพัฒนาแล้วไปยังประเทศกำลังพัฒนา เพื่อช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน
แม้ว่าการประชุม COP29 จะมีข้อตกลงที่สำคัญหลายประการ แต่ก็ยังมีประเด็นที่ยังคงเป็นที่ถกเถียงและต้องมีการหารือกันต่อไปอีกมากมาย ดังนี้
1. การระดมทุนเพื่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: แม้จะมีการตั้งเป้าหมายการเงินของบากูที่ตกรงร่วมกันระดมเงินให้ได้ 3 แสนล้าน USD ต่อปี และมุ่งมั่นพยายามระดมให้ได้ 1.3 ล้านล้าน USD ภายในปี 2023 แต่หลายประเทศยังคงกังวลว่าเงินทุนที่จัดสรรมานั้นยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ อีกทั้งประเทศกำลังพัฒนามีข้อจำกัดในการเข้าถึงเงินทุนเหล่านี้ และต้องการกลไกที่ง่ายและโปร่งใสมากขึ้นในการขอรับเงินทุน
2. การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: เร่งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 43% ภายในปี 2030 และเพิ่มเป็น 60% ภายในปี 2035 เมื่อเทียบกับปี 2019 ซึ่งประเทศต่าง ๆ ยังคงมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องของความรับผิดชอบในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตามแนวคิด “No one size fits all” โดยเฉพาะระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา สำหรับภาคอุตสาหกรรมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงเป็นเรื่องท้าทายเนื่องจากมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการจ้างงาน
นอกจากนี้การประชุมครั้งนี้ ได้รับรองการดำเนินงานภายใต้ความตกลงปารีสข้อที่ 6.4 (Article 6.4) ซึ่งเป็นกลไกการลดก๊าซเรือนกระจก (คาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศ) โดยมีการออกแนวทางรับรองคาร์บอนเครดิต การวัดผลรายงาน และการขึ้นทะเบียน โดย หน่วยงานกลาง (Supervisory Body :SB) คือ UNFCCC ซึ่งเพิ่มทางเลือกให้กับผู้พัฒนาโครงการลดก๊าซเรือนกระจกและรับรองคาร์บอนเครดิต ตามระเบียบวิธีการและข้อกำหนดตามแนวทางของ SB ได้
3. การปรับตัวเข้ากับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: การชดเชยความเสียหายและความสูญเสียที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรง และประเทศกำลังพัฒนาต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมในการปรับตัวเข้ากับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การสร้างระบบเตือนภัยล่วงหน้า การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางในการพัฒนาตัวชี้วัดด้านการปรับตัวฯ
4. บทบาทของภาคเอกชน: การแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียด โดยเฉพาะการกำหนดเป้าหมายและมาตรการที่ชัดเจนสำหรับภาคเอกชน ซึ่งจะต้องสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ อย่างการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
5. การดำเนินงานในระดับท้องถิ่น: การมีส่วนร่วมของชุมชนในระดับท้องถิ่นในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศยังคงมีความสำคัญ แต่ยังขาดกลไกที่ชัดเจนหรือนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศในการสนับสนุนการมีส่วนร่วม
หลังจากการประชุม COP29 เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศโลก ยังคงมีอีกหลายประเด็นที่ต้องได้รับการแก้ไขและพัฒนาต่อไปในอนาคต การร่วมมือกันของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวเข้ากับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สิ่งที่น่าจับตาต่อไปคือการดำเนินการตามข้อตกลงที่ได้ตกลงกันไว้ แต่ละประเทศจะต้องนำข้อตกลงเหล่านี้ไปปฏิบัติให้เกิดผลจริง รวมถึงการติดตามความคืบหน้าและประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ