facebook
icon telephoneCall Center02-141-9790
ค้นหา
icon switch languageภาษา
ขนาดตัวอักษร
การแสดงผล
icon line icon youtube icon tiktok
banner_list
  • [image_name]
  • [image_name]
  • [image_name]
  • [image_name]
  • [image_name]
  • [image_name]
  • [image_name]
  • [image_name]
  • [image_name]
  • [image_name]

TGO ร่วมกับ อว. และภาคี เปิดการใช้งานแอปพลิเคชัน “ZERO CARBON” มุ่งขับเคลื่อนท่องเที่ยวคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์

23 พ.ย. 66

               วันที่ 23 พฤศจิกายน 2566 องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO ร่วมกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) แผนงานการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB ร่วมแถลงข่าว เปิดการใช้งานแอปพลิเคชัน “ZERO CARBON” โดยได้รับเกียรติจาก นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการ อว. เป็นประธานเปิดงาน ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท กรุงเทพฯ

               แอปพลิเคชัน “ZERO CARBON” เกิดจากการพัฒนาชุดแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์เคลื่อนที่สำหรับผู้ประกอบการ เพื่อใช้ในการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการชดเชยคาร์บอน จากกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมไมซ์ เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนหรือคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งสนับสนุนทุนวิจัยโดย บพข. กองทุน ววน. พร้อมใช้งานบนสมาร์ทโฟน โดยช่องทางการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “Zero Carbon” ได้แก่ Google Play และ App Store ซึ่งมีความสะดวกและรวดเร็วต่อการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในการวัด การลด และการชดเชยคาร์บอนได้ด้วยตนเอง บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อให้ภาคส่วนต่างๆ ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมไมซ์ มีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมชดเชยคาร์บอนผ่านแอปพลิเคชัน มุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

               นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการ อว. กล่าวว่า งานในวันนี้ไม่เพียงแต่เป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและไมซ์ของประเทศไทยสู่ความยั่งยืนเท่านั้น แต่ยังถือเป็นส่วนหนึ่งในการบรรลุวิสัยทัศน์ของรัฐบาล ในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและส่งเสริมอนาคตที่ยั่งยืน โดยเป้าหมายอันใกล้ คือ การสร้างประเทศให้กลายเป็นประเทศสังคมคาร์บอนต่ำ และสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality ในปี 2050 และเป้าหมายในระยะยาว คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Greenhouse Gas Emission ในปี 2065

               การบูรณาการการทำงานระหว่างรัฐ กับภาคเอกชน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศนี้ อว.จะต้องพึ่งพาข้อมูล องค์ความรู้ วิทยาการต่างๆ ตลอดจนภาคีเครือข่ายจำนวนมาก ซึ่ง อว. ได้เน้นหลักการสำคัญคือ "เอกชนนำ รัฐสนับสนุน" โดยให้เอกชนซึ่งเป็นผู้ที่จะใช้ประโยชน์ทำหน้าที่กำหนดทิศทางว่าควรจะทำเรื่องอะไร อย่างไร แล้วสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยต่างๆ จะเข้าไปดำเนินการสนับสนุนอย่างเต็มกำลังโดยใช้ความต้องการเป็นตัวนำ และท่านรัฐมนตรี เน้นย้ำอยู่เสมอ คือ การบูรณาการทำงานเชื่อมประสานระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการ นักวิจัย สถาบันการศึกษา และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ ที่จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน สุชาดา กล่าวเสริม

              นายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการ TGO กล่าวว่า การส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคการท่องเที่ยว มุ่งสู่คาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากปัจจุบันปัญหาโลกร้อนเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือในการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อสร้างกลไกให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยมุ่งสู่ความยั่งยืน ทาง TGO จึงได้ร่วมพัฒนาเครื่องมือคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับกิจกรรมการท่องเที่ยวขึ้น เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะบริษัทนำเที่ยวนำไปใช้คำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทราบแหล่งและปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญของกิจกรรมท่องเที่ยวของตน ถือเป็นประโยชน์อย่างมากที่ทาง บพข. ได้นำเครื่องมือและองค์ความรู้ของ TGO ไปพัฒนาสู่รูปแบบแอปพลิเคชันที่ผู้ใช้งานสามารถคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ เลือกซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อมาชดเชยคาร์บอนจากการปล่อยของตน และได้รับใบประกาศเกียรติคุณเบ็ดเสร็จในแอปเดียว ผู้ใช้งานโดยเฉพาะบริษัทนำเที่ยวสามารถนำไปใช้ให้บริการกับนักท่องเที่ยวได้ นอกจากช่วยในการขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นการสร้างโอกาสและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในระดับสากล อีกด้วย