facebook
icon telephoneCall Center02-141-9790
ค้นหา
icon switch languageภาษา
ขนาดตัวอักษร
การแสดงผล
icon line icon youtube icon tiktok
banner_list
  • [image_name]

กระตุ้นรับมือโลกร้อน (1)

16 พ.ย. 63

บทความจากนายอาลก ชาร์มา ประธานการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 26 อันมีเนื้อหาน่าสนใจ สัปดาห์ก่อน เราเริ่มนับถอยหลัง 1 ปีก่อนจะถึงการประชุม COP26 ซึ่งจะจัดขึ้นในสหราชอาณาจักรในปี 2564 นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ทั่วโลกจะมารวมตัวกันเพื่อตกลงแนวทางยิ่งใหญ่ในการป้องกันมหันตภัยโลกร้อน

นั่นก็เพราะขณะที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหาไวรัสโคโรนา อันตรายจากโลกร้อนก็ยิ่งปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ แค่เพียงปีนี้ปีเดียวเราได้เห็นภัยธรรมชาติครั้งใหญ่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นคลื่นความร้อนรุนแรงเป็นประวัติการณ์ที่ไซบีเรีย น้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่แถบแอฟริกาตะวันออก และไฟป่าที่ไหม้เป็นวงกว้างในฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ

ผลการศึกษาระบุว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากเป็นอันดับที่ 6 ของโลก ดังที่เราเพิ่งเห็นข่าวภัยแล้งและน้ำท่วมรุนแรงในจังหวัดต่างๆ เมื่อไม่นานมานี้ งานวิจัยยังทำนายว่าภายในปี พ.ศ.2573 พื้นที่กว่า 30% ในกรุงเทพฯอาจประสบภัยน้ำท่วมจนเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากระดับน้ำในอ่าวไทยเพิ่มสูง อันเป็นผลจากการที่น้ำแข็งในทะเลละลาย นอกจากนี้การเพาะปลูกข้าวในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยายังอาจได้ผลผลิตลดลงอย่างมากภายใน 15 ปีข้างหน้า

ขณะที่ประเทศต่างๆเดินหน้ารับมือวิกฤติ การตัดสินใจครั้งสำคัญที่ทุกประเทศต้องเผชิญก็คือ จะเดินบนเส้นทางเดิมที่ปล่อยมลพิษต่อไปอีกหลายทศวรรษ หรือจะลงทุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจขึ้นใหม่ในแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ในฐานะประธานการประชุมผมยินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นรัฐบาลต่างๆ รวมทั้งภาคธุรกิจ ตั้งเป้าจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้ภายในปี พ.ศ.2593

เดือน ก.ย. ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนประกาศว่า จีนจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ เป็นศูนย์ให้ได้ก่อนปี พ.ศ.2603 ขณะที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ ซูกะของญี่ปุ่น และประธานาธิบดีมุน แจอินของเกาหลีใต้ ต่างออกมาประกาศว่าทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ตั้งเป้าจะทำเช่นเดียวกันให้ได้ภายในปี พ.ศ.2593 ทางด้านสิงคโปร์ได้ประกาศเมื่อต้นปีนี้ว่าจะบรรลุเป้าหมายเดียวกันภายในครึ่งหลังของศตวรรษนี้ (ก่อน พ.ศ. 2643) โดยอาศัยยุทธศาสตร์การพัฒนาระยะยาวที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ (Long-Term Low-Emissions Development Strategy- LEDS) นับเป็นชาติแรกในอาเซียนที่มียุทธศาสตร์ลักษณะนี้

ข้อมูลของ Climate Action Tracker ระบุว่ามี 126 ประเทศทั่วโลกที่ได้ประกาศตัวแล้วว่าจะมุ่งสู่เป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์หรือเป้าหมายลักษณะคล้ายกันนี้.

ที่มา ไทยรัฐ