facebook
icon telephoneCall Center02-141-9790
ค้นหา
icon switch languageภาษา
ขนาดตัวอักษร
การแสดงผล
icon line icon youtube icon tiktok
banner_list
  • 1716

ความต่างที่เหมือนกัน

15 ม.ค. 61

อากาศวิกฤตที่เกิดขึ้นในหลายมุมโลก ณ ห้วงเวลานี้ น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ สภาพอากาศบริเวณอเมริกาเหนืออยู่ท่ามกลางความแปรปรวนอย่างมาก ชาวอเมริกันและ ชาวแคนาเดียนกว่า 100 ล้านคน เผชิญกับความท้าทายใหม่ทั้งพายุหิมะและอากาศหนาว เย็นยะเยือก

อากาศวิกฤตที่เกิดขึ้นในหลายมุมโลก ณ ห้วงเวลานี้ น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ สภาพอากาศบริเวณอเมริกาเหนืออยู่ท่ามกลางความแปรปรวนอย่างมาก ชาวอเมริกันและ ชาวแคนาเดียนกว่า 100 ล้านคน เผชิญกับความท้าทายใหม่ทั้งพายุหิมะและอากาศหนาว เย็นยะเยือก

อุณหภูมิทั้งในสหรัฐและแคนาดา ในบางพื้นที่ติดลบ 38 องศาเซลเซียส (c) มีกระแส ลมเย็นจัด อุณหภูมิติดลบ 67 ํc

ลองมาไล่สถิติอุณหภูมิของแต่ละเมืองในสหรัฐ

เมืองเบอร์ลิงตัน รัฐเวอร์มอนต์ -18 ํc กระแสลมเย็น อุณหภูมิ -34 ํc

เมืองฮาร์ตฟอร์ด รัฐคอนเนตทิคัต -12 ํc กระแสลม -28 ํc

บนยอดเขาวอชิงตัน รัฐนิวแฮมป์เชียร์ จุดสูงสุดของฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ อุณหภูมิ -38 ํc กระแสลมวัดได้ 144 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หอบเอาความเย็นวัดได้ -69 ํc

เมืองบัลติมอร์ รัฐแมรี่แลนด์ และกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพิ่งเจออากาศลดวูบต่ำกว่า 6 ํc ถือว่าผิดปกติเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน

นอกจากอากาศเย็นจัดแล้ว ริมชายฝั่งรัฐแมสซาชูเซตส์ยังมีคลื่นใหญ่ซัดกระหน่ำสูงเกือบ 1 เมตร ถือว่าสูงสุดในรอบ 100 ปี ทางการต้องเตือนให้ชาวบ้านรีบอพยพหนีคลื่นที่ทะลัก ท่วมใส่บ้านเรือน ถนนหนทาง เพราะน้ำทะเลที่สาดขึ้นมาปะทะกับอากาศเย็นจัดจนกลาย เป็นน้ำแข็ง

ฉลามหางยาวที่ชอบอยู่ในน้ำอุ่นๆ ลึกอย่างน้อย 150 เมตรแถวๆ ทะเลแคริบเบียน ตะเกียกตะกายหนีขึ้นมาเกยตื้นบนชายฝั่งของอ่าวเคปคอด (Cape Cod) ทางใต้ของเมือง บอสตัน เจออากาศเย็นจนแข็งตาย

เคปคอดเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวล่องเรือไปดูวาฬกันมาก ปกติแล้วในเดือนธันวาคม อากาศเย็นๆ ราว 1 องศาเซลเซียส เวลานี้เย็นจัดติดลบ 12 ํc

ชาวบอสตันวุ่นวายกับหิมะที่ตกหนักหนากว่า 1 ฟุต ปกคลุมไปทั่ว ต้องโกยหิมะกอง พะเนินเทินทึก

บ้านเรือนแถบชายฝั่งมีคลื่นแรงและสูง ซัดเข้าฝั่งส่งผลกระทบอย่างมากเพราะน้ำทะเล ทะลักท่วมเมืองแล้วแข็งตัวกลายเป็นน้ำแข็งขาวโพลน

นายกเทศมนตรีเมืองบอสตันบ่นอุบ เนื่องจากเพิ่งเทงบประมานพัฒนาท่าเรือ ให้ สัมภาษณ์ว่า “ถ้าใครอยากรู้ว่าภาวะโลกร้อนเป็นยังไง ก็ให้มาดูที่นี่ แหละ”

อีกหลายๆ เมืองทางฝั่งตะวันออกของสหรัฐประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ห้ามคนออก นอกบ้าน เลี่ยงอันตรายจากอากาศที่เย็นจัด

การเดินทางในฝั่งตะวันออกของสหรัฐปั่นป่วนทั้งทางบก อากาศ ถนนหนทางลื่น รถวิ่ง ไปมาลำบาก

สนามบินต้องปิดชั่วคราวเนื่องจากหิมะปกคลุมหนา เครื่องบินดีเลย์ ผู้โดยสารเคว้ง คว้าง

ชาวอเมริกันราวๆ 19 คน เสียชีวิต เพราะอากาศเย็นจัด และเกิดอุบัติเหตุจากถนน ลื่น

ข้ามไปที่ยุโรปตะวันตก อากาศวิกฤตเนื่องจากพายุ “อีลีนอร์” พัดถล่ม ทั้งเกิดคลื่นลมแรงกว่า 180 ก.ม./ช.ม. อากาศหนาวเหน็บ หิมะตกหนัก

ในฝรั่งเศส สเปน ผู้คนอีกนับหมื่นคนไม่มีไฟฟ้าใช้

ที่จีน อากาศเย็นจัด หิมะตกหนัก ผู้คนเดือดร้อนกันถ้วนหน้า

แต่อีกมุมของโลก ที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย อากาศร้อนทะลุไปถึง 47.3 ํc สูง สุดในรอบ 79 ปี

ผู้คนที่นั่นเหงื่อแตกพลั่ก เปิดแอร์เย็นสุดๆ ยังเอาไม่อยู่

สํานักข่าวบีบีซี ไปดึงเอาข้อความที่โพสต์ในโซเชียลมีเดียของอเมริกันและออสซี่มา เปรียบเทียบสะท้อนความรู้สึกของคนที่อยู่คนละมุมโลก

โพสต์ของสำนักงานบริหารสภาพอากาศแห่งชาติหรือเอ็นดับเบิลยูของอเมริกัน มีข้อ ความว่า อุณหภูมิในมหานครนิวยอร์ก ต่ำกว่า -13 ํc ในวันที่ 6 มกราคม หิมะตกหนักสูง กว่า 1 ฟุต

ทั้งลมที่แรงและอากาศเย็นยะเยือกอย่างนี้ให้ระวังอันตรายด้วย และแนวโน้มอากาศ แปรปรวนต่อเนื่องไปตลอดทั้งสัปดาห์

อีกข้อความบอกว่า บริเวณทางเหนือของออนตาริโอและควิเบก ฝั่งตะวันออกของ แคนาดา ทำนายว่า อุณหภูมิลดลงเกือบติดลบถึง 50 ํc

ส่วนชาวออสซี่โพสต์ว่า อุณหภูมิที่ซิดนีย์ร้อนขนาดไหนก็ดูไอศกรีม ยังไม่ทันกินละลาย เกือบหมดแล้ว

ความแตกต่างของสภาวะภูมิอากาศ ระหว่างทวีปอเมริกาเหนือกับออสเตรเลีย เห็นได้ ชัดจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น

นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่ามีสาเหตุมาจากภาวะโลกร้อน

ความหนาวเย็นบริเวณขั้วโลกเหนือ ปกติแล้วทำให้เกิดความกดอากาศต่ำแผ่ปกคลุม พื้นที่หรือที่เรียกว่า “โพลาร์ วอร์เท็กซ์”

ปัจจุบัน อุณหภูมิบริเวณขั้วโลกเหนือสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดสภาวะภูมิอากาศแปรปรวน มวลอากาศเย็น ความกดดันต่ำเลื่อนลงมาปกคลุมทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปขณะที่ กระแสลมจากทะเลแคริบเบียนหอบเอาความชื้นขึ้นมาปะทะเป็นพายุหมุน

ส่งผลเกิดคลื่นลมแรงในทะเลและพายุหิมะถล่มในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของสหรัฐและ แคนาดา

นักวิทยาศาสตร์เรียกภาวะวิกฤตนี้ว่า “ระเบิดไซโคลน” (explosive cyclogenesis)

สื่ออเมริกันตั้งฉายาว่า พายุหิมะเฮอริเคน (snow hurricane)

หลักฐานทางภูมิอากาศอีกชิ้นหนึ่งที่ชี้ชัดว่าวิกฤต ได้แก่ อุณหภูมิเมืองแองเคอเรจ รัฐ อะแลสกา อยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือ สูงกว่าเมืองแจ๊กสันวิลล์ รัฐฟลอริดา อยู่ทางใต้ของสหรัฐ

ถ้าเปรียบเทียบอุณหภูมิในฝั่งตะวันออกของอเมริกาเหนือกับอุณหภูมิโลก ปรากฏว่า อเมริกาหนาวจัด ขณะที่อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้น 0.5 ํc และอุณหภูมิขั้วโลกเหนือ 3.4 ํc สูง ขึ้นกว่าปกติ

นี่จึงเป็นปรากฏการณ์อันชวนพิศวงและน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง

“เจนนิเฟอร์ ฟรานซิส” นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาวะภูมิ อากาศแห่งมหาวิทยาลัยรัตเกอร์ส ร่วมศึกษาความเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ ตีพิมพ์ ผลงานในวารสารชื่อ “WIRES Climate Change” เมื่อปีที่แล้วระบุไว้ว่า อุณหภูมิบริเวณขั้วโลกเหนือที่สูงขึ้นนั้นเชื่อมโยงกับก้อนน้ำแข็งละลาย ขับมวลความเย็นให้ เลื่อนไหลมาทางใต้มากขึ้นกว่าเดิม

“ผลการศึกษายืนยันว่า มวลความเย็นที่ปกคลุมฝั่งตะวันออกของสหรัฐ และ ความแห้งแล้งเกิดขึ้นฝั่งตะวันตก รวมถึงคลื่นความร้อน พายุเฮอริเคนที่มีระดับความแรง เกือบสูงสุด มีความสัมพันธ์กับอุณหภูมิของขั้วโลกเหนือที่สูงขึ้น สาเหตุหลักมาจากน้ำมือคน ที่ทำให้สภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงเช่นนี้” ฟรานซิสระบุ

“ฟรานซิส” ยังชี้อีกว่า พื้นที่ทะเลน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกใต้ แถบ มหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติทำให้พื้นที่น้ำแข็งหดตัวลง

น้ำแข็งละลาย แสงอาทิตย์ส่องลงสู่พื้นมหาสมุทรโดยตรง น้ำทะเลดูดซับเอาความร้อน มากขึ้น เมื่อคายความร้อนสู่ชั้นบรรยากาศโลกทำให้ความปกติของวัฏจักรธรรมชาติผิด เพี้ยนไป

สภาวะภูมิอากาศที่เคยเป็นตามฤดูกาล มีอากาศร้อนในฤดูร้อน ฝนตกในฤดูฝน หิมะ ตกช่วงฤดูหนาว เปลี่ยนแปลงกลายเป็นฤดูร้อนที่ร้อนแทบตับแตก ฝนตกหนักหน่วง พายุ ถล่มทั้งวันทั้งคืนและหิมะเทลงมาจนกลายเป็นเมืองน้ำแข็ง

โลกวันนี้ กำลังเฉียดเข้าสู่ความเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศอย่างเฉียบ พลันที่เราไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย ยกเว้นว่าทุกคนร่วมกันลดปริมาณการปล่อยก๊าซ พิษสู่ชั้นบรรยากาศอย่างจริงจังเพียงเท่านั้นที่จะช่วยให้ลูกหลานของเราได้อยู่อย่างปกติ สุข

ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ: https://www.matichonweekly.com