สำนักข่าว CNBC รายงานเมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา อ้างอิงตามรายงานของ London-based environmental think tank Ember ว่า การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากภาคการผลิตไฟฟ้าทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นเกินระดับก่อนช่วงที่เกิดวิกฤติโควิด-19 โดยทำสถิติสูงสุดในครึ่งปีแรกของปี 2564
โดยการวิเคราะห์พบว่าความต้องการและการปล่อยไฟฟ้าในปัจจุบันสูงกว่าที่เคยเกิดการระบาดของโควิด-19 ถึง 5% เนื่องจากมาตรการล็อคดาวน์ทั่วโลก ขณะที่ความต้องการไฟฟ้านั่นได้แซงหน้าการเติบโตพลังงานหมุนเวียนแล้ว
จากรายงานระบุว่าในปีที่ผ่านมา 61% ของไฟฟ้าในโลกยังคงมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล โดย 5 ประเทศในกลุ่ม G-20 มีไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงดังกล่าวถึง 75% ขณะที่ซาอุดิอาระเบียอยู่ที่ 100% แอฟริกาใต้ 89% อินโดนีเซีย 83% เม็กซิโก 75% และออสเตรเลีย 75%
ทั้งนี้ในปี 2563 มีการผลิตถ่านหินลดลงเป็นประวัติการณ์ 4% แต่โดยมีซัพพลายพลังงานเพิ่มขึ้น 43% ในช่วงปี 2562-2563 โดยปัจจุบันเอเชียผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินถึง 77% ขณะที่จีนเพียงแห่งเดียวผลิตถึง 53% เพิ่มจาก 44% ในปี 2558
โดยจากการศึกษาเตือนว่า พลังงานถ่านหินนั้นมีส่วนทำให้ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 30% ของโลก และยากที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศคาดการณ์ว่าการผลิตถ่านหินจะมีการฟื้นตัวขึ้นในปี 2564 เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
Dave Jones หัวหน้านักวิเคราะห์ของ Ember กล่าวว่า การใช้ถ่านหินจะต้องลดลง 80% ภายในสิ้นทศวรรษนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงกับภาวะโลกร้อนที่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งจะเป็นอันตราย
“เราจำเป็นต้องสร้างไฟฟ้าสะอาดให้เพียงพอเพื่อทดแทนกับถ่านหินและกระตุ้นเศรษฐกิจโลกไปพร้อมๆ กันด้วย” Dave Jones กล่าว
โดยการศึกษานี้มีขึ้นก่อนการประชุมใหญ่เรื่องสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติในเมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งผู้เจรจาหวังจะผลักดันให้มีการพยายามดำเนินการด้านสภาพอากาศมากขึ้นและประเทศต่างๆให้คำมั่นสัญญาว่าจะลดการปล่อยมลพิษ
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเตือนว่าอุณหภูมิโลกโดยเฉลี่ยน่าจะเกินเกณฑ์ 1.5 องศาเซลเซียสภายใน 20 ปี หากไม่มีการลดการปล่อยมลพิษทั่วโลกอย่างรวดเร็วและวงกว้าง
นอกจากนี้จากการศึกษายังสะท้อนอีกมุมหนึ่งด้วย อย่างเช่นในปี 2563 มีการผลิตพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ เพิ่มขึ้น 15% โดยมีการนำไปผลิตไฟฟ้าได้เกือบ 1 ใน 10 ของโลกในปีที่แล้ว และเพิ่มการผลิตเป็น 2 เท่าตั้งแต่ปี 2558
โดยบางประเทศผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและพลังแสงอาทิตย์ได้ราว 10% รวมถึงอินเดีย จีน ญี่ปุ่น สหรัฐ ขณะที่ยุโรปที่มีการเติบโตสูงสุดในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและพลังแสงอาทิตย์ เช่น เยอรมนี 33% และสหราชอาณาจักร 29%
ที่มา: การเงินการธนาคาร