facebook
icon telephoneCall Center02-141-9790
ค้นหา
icon switch languageภาษา
ขนาดตัวอักษร
การแสดงผล
icon line icon youtube icon tiktok
banner_list
  • viktor-talashuk-Zcqw1XnVnDo-unsplash-768x545

จีนเปิดตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตใหญ่ที่สุดในโลก

24 ก.ค. 64

จีนเปิดตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตใหญ่ที่สุดในโลกไปเมื่อ 16 ก.ค. หลังจากประกาศกฎและข้อบังคับให้มีผลบังคับใช้ในเดือน ก.พ. นับเป็นอีกความเคลื่อนไหวที่ทั่วโลกให้ความสนใจต่อแนวทางลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลจีนที่ริเริ่มใช้นโยบายต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยมลพิษให้ถึงจุดสูงสุดในปี พ.ศ.2573 และสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2603

               ก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนได้ดำเนินโครงการซื้อขายคาร์บอนเครดิตมาตั้งแต่ปี 2554 เป็นโครงการ “นำร่อง” ใน 7 เมือง ได้แก่ ปักกิ่ง เทียนจิน เซี่ยงไฮ้ ฉงชิ่ง หูเป่ย กวางตุ้งและเซินเจิ้น ซึ่งพบปัญหาการปลอมแปลงข้อมูลการปล่อยมลพิษ จนต้องปรับกฎเกณฑ์ให้เข้มงวดมากขึ้น พัฒนาระบบการติดตามและการรายงานผลที่มีประสิทธิภาพจนนำมาสู่การเริ่มเดินหน้าโครงการ “ขั้นแรก” อย่างจริงจังช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา

               โครงการนี้จัดให้หน่วยงานรัฐในท้องถิ่นกำหนดเพดานปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ของบริษัทภาคอุตสาหกรรมต่างๆสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งหากต้องการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯสู่ชั้นบรรยากาศเกินกว่าปริมาณที่กำหนด จะต้องซื้อคาร์บอนเครดิตจากโรงงานหรือบริษัทอื่นที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนฯต่ำกว่าเกณฑ์ โดยหน่วยงานท้องถิ่นจะออกใบรับรองสำหรับทุกๆตันของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกตามที่ได้รับอนุญาต หากเกินกว่าที่กำหนดจะมีค่าปรับต่อการก่อมลพิษ

               ในระยะแรกโครงการดังกล่าวครอบคลุมเฉพาะอุตสาหกรรมภาคไฟฟ้าเท่านั้น เป็นผู้ผลิตไฟฟ้า 2,225 ราย ที่ปล่อยคาร์บอน 4 พันล้านตันในแต่ละปี หรือราว 30% ของการปล่อยก๊าซทั้งหมดของประเทศ โดยวางแผนจะเพิ่มบริษัทปูนซีเมนต์และผู้ผลิตอะลูมิเนียมร่วมโครงการในปีหน้า และกำลังร่างกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับใหม่ที่นักสิ่งแวดล้อมชี้ว่าอาจช่วยแก้ไขข้อบกพร่องในระบบการซื้อขายคาร์บอนในปัจจุบันได้

               ที่ผ่านมาจีนปล่อยคาร์บอน 27% ของโลกในปี 2019 เป็นคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 10 พันล้านตัน แต่เมื่อเทียบอัตรา per capita ต่อจำนวนประชากรนั้น จีนอยู่ที่ราว 6.8 ตันของก๊าซคาร์บอนฯต่อคน ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของการปล่อยคาร์บอนฯของประชาชนในสหรัฐฯ ออสเตรเลีย และแคนาดาเสียอีก.

ที่มา:ไทยรัฐออนไลน์