facebook
icon telephoneCall Center02-141-9790
ค้นหา
icon switch languageภาษา
ขนาดตัวอักษร
การแสดงผล
icon line icon youtube icon tiktok
banner_list
  • 944

จุดยืน AEC เดินหน้าลดปัญหาโลกร้อน

05 เม.ย. 59

ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก้าวเข้าสู่ความเป็น “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” หรือ “AEC” อย่างเต็มตัวแล้ว ถือเป็นก้าวย่างสำคัญที่ทำให้ภูมิภาคอาเซียนกลายเป็นกลุ่มเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มีฐานการผลิตรวมกัน และสร้างอำนาจต่อรองทางด้านการค้าในเวทีโลกได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ดังนั้นการก้าวเข้าสู่ “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” จึงเป็นทั้ง “ความท้าทาย” และ “โอกาส” ให้แสวงหาแนวทางและมาตรการร่วมกัน เพื่อความเป็นหนึ่งเดียวในภูมิภาค เกิดเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกมิติ โดยมีคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อาเซียนต่างยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจให้ก้าวหน้าทัดเทียมกับภูมิภาคอื่น ซึ่งเห็นได้จากนโยบายที่ก้าวกระโดดของหลายประเทศ อาทิ มาเลเซียได้มีวิสัยทัศน์ว่า “จะต้องเป็นประเทศอุตสหกรรมที่พัฒนาแล้วในปี ค.ศ. 2020” สำหรับอาเซียนใหม่ (CLMV) ก็มีนโยบายเปิดประเทศมากยิ่งขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานโดยการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ การเร่งพัฒนาเศรษฐกิจของอาเซียนจะส่งผลให้เกิดการขยายและเพิ่มฐานการผลิตในภูมิภาค ก่อให้เกิดปัญหามลพิษและเกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่มากขึ้นจากกิจกรรมต่างๆ จึงคาดการณ์ได้ว่าภูมิภาคอาเซียนจะเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษที่สำคัญของโลกในอนาคต ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับประชาชนในภูมิภาคอาเซียน จึงจำเป็นที่จะต้องปรับตัวเพื่อรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ในขณะเดียวกันภูมิภาคอาเซียนก็มีความเปราะบางอย่างยิ่ง เนื่องจากประชากรยังต้องพึ่งพิงภาคเกษตรกรรมและทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อตอบสนองการดำรงชีวิตของประชาชนในภูมิภาค ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศย่อมส่งผลกระทบเช่นกัน

สำหรับปัญหาโลกร้อนไม่ใช่ประเด็นอุบัติใหม่ของภูมิภาค เพราะผู้นำอาเซียนได้ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวมามากกว่าทศวรรษแล้ว โดยได้ยกประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศว่าเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อมนุษยชาติและการพัฒนาที่ยั่งยืน และยังส่งผลกระทบต่อภูมิภาคอาเซียอีกด้วย ในการประชุมสมัชชารัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC COP) ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2007 เป็นต้นมา ในขณะเดียวกันประเทศสมาชิกอาเซียนก็ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศจาก Brown Economy เป็น Green Economy หรือ “เศรษฐกิจสีเขียว” เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาที่มุ่งสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดของเสียและก๊าซเรือนกระจกในปริมาณน้อยที่สุด ประเทศสมาชิกอาเซียนจึงได้มีการตั้งเป้าหมายระดับชาติเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามขีดความสามารถของตน อาทิ อินโดนีเซียตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 26% ภายในปี พ.ศ. 2563 สปป.ลาวตั้งเป้าหมายเพิ่มพื้นที่ป่า 70% ภายในปี พ.ศ. 2563 มาเลเซียตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 40% จากภาคพลังงาน ภายในปี พ.ศ.2563 และเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน 11% ภายในปี พ.ศ. 2563 สิงคโปร์ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 16% ภายในปี พ.ศ. 2564 ประเทศไทยตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 7-20% ภายในปี พ.ศ. 2563 และเวียดนามตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 7-20% ภายในปี พ.ศ. 2563 จากที่กล่าวมาหลายๆ ท่านน่าจะเห็นภาพได้ว่า ภูมิภาคอาเซียนซึ่งเป็นประเทศกำลังพัฒนา และไม่ได้เป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่ก็ยังมีความปรารถนาที่จะลดสาเหตุของการเกิดโลกร้อน และเพิ่มขีดความสามารถของประเทศในการปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

สำหรับการก้าวเข้าสู่ AEC จะส่งผลทั้งด้านบวกและด้านลบ โดยผลด้านบวกจะก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจ รวมทั้งเกิดการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานและพลังงานของภูมิภาค สำหรับผลด้านลบโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อน ผู้เขียนมองว่าอาจก่อให้เกิดการเพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น เพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายด้านพลังงาน นอกจากนี้นโยบายการเชื่อมโยงพลังงานในภูมิภาคอาจทำให้แรงขับเคลื่อนในการพัฒนาพลังงานทางเลือกอื่นๆ ลดลง เพราะพลังงานฟอสซิลมีต้นทุนถูกกว่า เป็นต้น

ถึงจุดนี้หลายท่านคงพอมองภาพชัดเจนขึ้นว่า ปัญหาโลกร้อนเป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา และไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงเป็นความท้าทายที่ประชาคมอาเซียนจะร่วมกันแสวงหาแนวทาง หรือมาตรการในการจัดการกับปัญหาร่วมกัน โดยอาศัยความร่วมมือในระดับภูมิภาค เพื่อพัฒนานโยบาย กฎระเบียบ และมาตรฐานการดำเนินงานเพื่อลดภาวะโลกร้อน อาทิ การจัดทำแผนแม่บทสังคมคาร์บอนต่ำและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของภูมิภาคร่วมกัน การจัดทำ Regional benchmarking ด้านพลังงานที่สะอาด การจัดทำมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานร่วมกัน (Harmonized Standard) เพื่อลดการกีดกันทางการค้าและเป็นมาตรฐานเดียวกันของภูมิภาค การร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในบริบทของอาเซียน การร่วมกันพัฒนากลไกการตลาดเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งในประเทศและภูมิภาค เป็นต้น ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างให้ประชาคมอาเซียนเติบโตอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Growth) และมีขีดความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์โลกร้อนในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น


ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ http://www.energysavingmedia.com