facebook
icon telephoneCall Center02-141-9790
ค้นหา
icon switch languageภาษา
ขนาดตัวอักษร
การแสดงผล
icon line icon youtube icon tiktok
banner_list
  • [image_name]
  • [image_name]
  • [image_name]
  • [image_name]
  • [image_name]
  • [image_name]
  • [image_name]
  • [image_name]
  • [image_name]
  • [image_name]

ทส. โชว์ผลงานเด่น ปี '64 พร้อมเดินหน้า ปี '65 ด้วย "ทส. ยกกำลัง x" ทำงานไร้ขีดจำกัด เพื่อความสุขพี่น้องคนไทย

04 ต.ค. 64

               วันที่ 4 ตุลาคม 2564 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) แถลงภายหลังการเป็นประธานในพิธี “วันคล้ายวันสถาปนากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครบรอบ 19 ปี และการประชุมมอบนโยบายการดำเนินงานปีงบประมาณ 2565” ให้กับ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) โดย นายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก พร้อมด้วยผู้บริหารหน่วยงานสังกัด ทส.ทั่วประเทศ โดยโชว์ผลงานเด่น ปี 2564 ภายใต้นโยบาย "ทส.หนึ่งเดียว" และ "ทส.ยกกำลังสอง บวก 4" พร้อมลุยต่อ ปี 2565 ชูนโยบาย "ทส. ยกกำลัง x" มุ่งสู่เป้าหมาย มองไปข้างหน้า อย่างไร้ขีดจำกัด สร้างความมั่นคงทางฐานทรัพยากร สู่ความมั่งคั่งของชุมชนในระดับฐานราก ให้กินดีอยู่ดี มีรายได้มั่นคง มีเศรษฐกิจชุมชนที่ดี เพื่อความสุขของพี่น้องคนไทยทุกคน

               รมว.ทส. เผยว่า ช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้สักการะพระพุทธสยัมภูและพระภูมิเจ้าที่ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงฯ เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครบรอบ 19 ปี และได้ร่วมประชุมกับคณะผู้บริหารหน่วยงานสังกัด ทส.ทั่วประเทศ โดยปีที่ผ่านมา ได้ต่อยอดการทำงานของปี 2563 สู่การมุ่งมั่น “ยกระดับคุณภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” ในปี 2564 ภายใต้นโยบาย “ทส. หนึ่งเดียว” และ “ทส. ยกกำลังสอง บวกสี่” ที่แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่การทำงานของกระทรวงฯ ไม่เคยหยุดนิ่ง โดยเฉพาะ การดำเนินงานโครงการในพระองค์และโครงการพระราชดำริ ในการแก้ไขปัญหาช้างป่าในพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ภายใต้ “มูลนิธิพัชรสุธาคชานุรักษ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์” และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และอุทยานแห่งชาติ จังหวัดกาญจนบุรี ในพื้นที่บ้านไล่โว่และบ้านสะละวะ ภายใต้ “มูลนิธิภูบดินทร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์”

               นอกจากนี้ ยังได้จัดที่ดินทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติให้กับชุมชน ภายใต้ โครงการ คทช. ไปแล้วกว่า 3.6 ล้านไร่ เร่งแก้ไขปัญหาส่วนราชการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาต จำนวน 101,354 คำขอ ดำเนินการปลูกป่าเพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟู ป่าต้นน้ำ ป่าชายเลน และป้องกันไฟป่า จำนวน 407,655 ไร่ ป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่สามารถลดจุดความร้อน ได้กว่าร้อยละ 50 ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง ในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร เพชรบุรี นครศรีธรรมราช จันทบุรี และตราด ด้วยมาตรการปักไม้ไผ่ชะลอคลื่น รวมระยะทางกว่า 11.1 กิโลเมตร จัดทำปะการังเทียมจากขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียม 7 ขาแท่น สำรวจ “ถ้ำ” ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ปลอดภัย จำนวน 15 ถ้ำ อนุรักษ์โครงกระดูก “วาฬอำแพง” และ การขอรับรองสถิติโลก “ไม้ตาก” ไม้กลายเป็นหินที่ยาวที่สุดในโลก รวมทั้งการประกาศจัดตั้ง “อุทยานธรณีชัยภูมิ” จ.ชัยภูมิ เป็นอุทยานธรณีแห่งที่ 7 ของประเทศ การประกาศให้“กลุ่มป่าแก่งกระจาน” ขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกโลกทางธรรมชาติ”เป็นแห่งที่ 3 ของประเทศ และการได้รับการรับรองให้ “ดอยเชียงดาว” เป็น “พื้นที่สงวนชีวมณฑลแห่งใหม่ของโลก” เป็นแห่งที่ 5 ของประเทศ

               อีกทั้งพัฒนาแหล่งน้ำผิวดิน และระบบกระจายน้ำกว่า 136 ล้านลูกบาศก์เมตร ครอบคลุมพื้นที่ 203,137 ไร่ ชุมชนได้ประโยชน์กว่า 52,819 ครัวเรือน พัฒนาแหล่งน้ำบาดาล สามารถเพิ่มปริมาณน้ำได้ 72 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ช่วยเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรม 77,480 ไร่ ประชาชนได้ประโยชน์กว่า 122,919 ครัวเรือน เร่งให้ความรู้ในการแยกทิ้งขยะติดเชื้ออย่างถูกต้อง ตลอดจน รณรงค์ “งดรับ” พลาสติกใช้ครั้งเดียว จากบริการส่งอาหาร ส่งเสริมการคัดแยกขยะเพื่อส่งกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ภายใต้โครงการ “เปลี่ยนพลาสติกเป็นบุญ เมื่อคุณหมุนเวียน” ที่มีจุดรับคืนพลาสติกกว่า 450 จุด และรวบรวมขยะพลาสติกสะอาดได้แล้ว 83,357 กิโลกรัม รวมทั้งการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมสมัยใหม่เข้ามาเสริมศักยภาพในการทำงาน เช่น การนำระบบ E-project tacking (อี-โปรเจ็ค แทร็กกิ้ง) ติดตามผลการดำเนินงานในระดับพื้นที่ การใช้อากาศยานไร้คนขับเสริมภารกิจการเฝ้าระวังป้องกันไฟป่า การบุกรุกทำลายพื้นที่ป่า และการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ เป็นต้น

               สำหรับก้าวต่อไป ในปี 2565 รมว.ทส. เผยว่า จะเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม เป็นปีแห่งการปรับตัวและฟื้นฟูเพื่อตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของประชาชน การใช้ทรัพยากรจะเกิดความคุ้มค่าสูงสุดเพื่อสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคงให้กับชุมชน ภายใต้นโยบาย “ทส. ยกกำลังเอ็กซ์” (ทส.X) มองไปข้างหน้า อย่างไร้ขีดจำกัด มุ่งสู่วิสัยทัศน์ “ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามแนววิถีใหม่ ภายใต้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน” เดินหน้า 2 เป้าหมายหลัก ได้แก่ เป้าหมายที่ 1 การสร้างเศรษฐกิจครัวเรือน สังคมมีสุข ชุมชนเข้มแข็ง ประกอบด้วย การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนเพิ่มเติม ภายใต้โครงการ คทช. และพัฒนาเพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชน รวมทั้งการจัดที่ดินทำกินและอยู่อาศัยในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ การจัดตั้งป่าชุมชน การปลูกป่าเพื่อการอนุรักษ์ฟื้นฟู ป่าต้นน้ำ ป่าชายเลน และการป้องกันไฟป่า รวมทั้งเป็นแหล่งดูดซับก๊าซเรือนกระจกให้กับประเทศไทย เพื่อการแบ่งปันคาร์บอนเครดิต ตลอดจนยกระดับมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติเพื่อเสริมรายได้ให้กับชุมชนรอบพื้นที่พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวหลังการเปิดประเทศ การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ตามมาตรการ ขาว-เขียว-เทา การจัดแบ่งระบบกลุ่มหาด การสร้างความร่วมมือกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นสำรวจและจัดทำแผนการจัดการสถานการณ์ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ อปท. ที่มีสถานการณ์รุนแรง และประสานให้มีเตาเผาขยะติดเชื้อครอบคลุมทุกจังหวัด การพัฒนาแหล่งน้ำและระบบกระจายน้ำผิวดินและการพัฒนาขุดเจาะบ่อบาดาลในพื้นที่ คทช. พื้นที่โครงการในพระองค์และโครงการพระราชดำริ และพื้นที่แล้งซ้ำซาก

               เป้าหมายที่ 2 การมุ่งสู่เศรษฐกิจแบบใหม่ (BCG Model) และสังคมคาร์บอนต่ำ ประกอบด้วย การส่งเสริมเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) การส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) การส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) การส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด สนับสนุนการดำเนินงานตามแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย การจัดทำ Environment Map ส่งเสริมการประเมินมูลค่าทรัพยากรและการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า ทั้งการจัดทำระบบบัญชีเศรษฐกิจทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนจัดทำผังภูมินิเวศระดับภาคเพื่อการพัฒนาการใช้ประโยชน์พื้นที่รองรับและลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและสังคมคาร์บอนต่ำให้ครบทุกภูมิภาค ภายในปี 2570 รวมทั้ง การพัฒนาระบบ Digital Platform และการนำนวัตกรรมมาใช้ในการบริหารจัดการ

               ทั้งนี้ จะยังคงมุ่งรักษาฐานทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไว้ให้คงความอุดมสมบูรณ์ มีคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อส่งต่อถึงคนในรุ่นอนาคต และเป็นเศรษฐกิจฐานรากที่ยั่งยืนให้กับชุมชนเพื่อความสุขของคนไทยและการร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ดังวิสัยทัศน์ “ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามแนววิถีใหม่ ภายใต้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน”