นักวิทยาศาสตร์นับหมื่นคนทั่วโลก ลงนามในบทความที่เผยแพร่ผ่านนิตยสารวิทยาศาสตร์ BioScience เมื่อไม่กี่วันก่อน ย้ำข้อเรียกร้องที่ให้ผู้นำโลกมีมาตรการที่จริงจัง เพื่อรับมือกับวิกฤติสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง หลังจาก 2 ปีก่อนมีนักวิทยาศาสตร์มากกว่า 10,000 คนจาก 150 ประเทศ ที่ได้ร่วมลงนามประกาศ “ความเร่งด่วนของสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงของโลก” และในปีนี้ มีนักวิทยาศาสตร์เพิ่มอีกกว่า 2,800 คน ที่ร่วมลงนามเรียกร้องให้ปกป้องชีวิตบนโลกใบนี้
นักวิทยาศาสตร์นับหมื่นคนทั่วโลก ลงนามในบทความที่เผยแพร่ผ่านนิตยสารวิทยาศาสตร์ BioScience เมื่อไม่กี่วันก่อน ย้ำข้อเรียกร้องที่ให้ผู้นำโลกมีมาตรการที่จริงจัง เพื่อรับมือกับวิกฤติสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง หลังจาก 2 ปีก่อนมีนักวิทยาศาสตร์มากกว่า 10,000 คนจาก 150 ประเทศ ที่ได้ร่วมลงนามประกาศ “ความเร่งด่วนของสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงของโลก” และในปีนี้ มีนักวิทยาศาสตร์เพิ่มอีกกว่า 2,800 คน ที่ร่วมลงนามเรียกร้องให้ปกป้องชีวิตบนโลกใบนี้
ฟิลิป ดัฟฟี่ กรรมการบริหาร สถาบันวิจัยสภาพอากาศวู้ดเวลล์ ในรัฐแมสซาชูเซตส์ของสหรัฐฯ บอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากสภาพอากาศที่เลวร้ายที่เราเผชิญมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยที่ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเหตุน้ำท่วม ไฟป่าที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่สัปดาห์มานี้ ก็แสดงให้เห็นถึงความเร่งด่วนที่เราต้องเร่งดำเนินการต่อวิกฤติสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงนี้แล้ว
นับตั้งแต่การประกาศเมื่อปี 2019 โลกของเราก็ยังเผชิญกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายเกี่ยวข้องกับสภาวะอากาศ โดยในรายงานการศึกษา นักวิจัยได้อาศัย “สัญญาณชีพ”ในการวัดสุขภาพของดาวเคราะห์ดวงนี้ ซึ่งรวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก, ความหนาแน่นของธารน้ำแข็ง, ขอบเขตน้ำแข็งในทะเล และการตัดไม้ทำลายป่า โดยพบว่า จาก 31 สัญญาณเหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์พบว่า มีอย่างน้อย 18 สัณญาณ ที่พบว่ากำลังทำสถิติสูงสุด หรือต่ำสุด เป็นประวัติการณ์ ขณะที่ปี 2020 ที่ผ่านมา เป็นปีที่ร้อนที่สุดอันดับที่ 2 นับตั้งแต่ที่เริ่มมีการบันทึกอุณหภูมิ และพบว่าช่วงต้นปีนี้ ความหนาแน่นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์บนชั้นบรรยากาศของโลก สูงกว่าช่วงเวลาใดๆนับตั้งแต่ที่เริ่มต้นวัดค่ากันมา
คณะนักวิจัยยังระบุด้วยว่า ปริมาตรของนำแข็งในกรีนแลนด์ และแอนตาร์กติกา อยู่ในระดับ“ต่ำ” ที่สุด นับตั้งแต่มีการบันทึกมาโดยพบว่า น้ำแข็งละลายเร็วขึ้นกว่าเมื่อ 15 ปีที่แล้วถึง 31% และขณะเดียวกัน ปี 2020 ป่าแอมะซอนในบราซิลยังถูกทำลายไปมากที่สุดในรอบ 12 ปี
ทิม เลนทัน ผู้อำนวยการ Global Systems Institute แห่งมหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์ ในอังกฤษ และเป็นผู้ร่วมเขียนงานวิจัยชิ้นนี้ระบุว่า คลื่นความร้อนที่ทำสถิติในแถบตะวันตกของสหรัฐฯและแคนาดาก็ชี้ให้เห็นแล้วว่า สภาวะอากาศ พร้อมที่จะเริ่ม “รุนแรงกว่าที่เราคาดการณ์ไว้” เลนทัน บอกว่า เราต้องตอบสนองต่อหลักฐานที่ว่า เรากำลังอยู่ในจุด “วิกฤติ” ด้วยการเดินหน้ามาตรการที่เป็นรูปธรรมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเริ่มต้นการฟื้นคืนธรรมชาติ มากกว่าที่จะทำลาย
ขณะเดียวกัน รายงานวิจัยจากสถาบันโลก แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจในวารสาร Nature Communications ว่า ในสิ้นทศวรรษนี้ หรือปี 2100 อาจมีประชากรโลกต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับโลกร้อนมากถึง 83 ล้านคน เทียบเท่ากับจำนวนประชากรในเยอรมนีทั้งประเทศ โดยการปล่อยก๊าซคาร์บอนทุกๆ 4,434 ตัน สู่ชั้นบรรยากาศโลกจะคร่าชีวิต 1 คน ในสิ้นทศวรรษนี้ และมีโอกาสที่โลกใบนี้จะร้อนขึ้นถึง 4.1 องศาเซลเซียส ภายในปี 2100
แล้วเราจะตอบสนองได้อย่างไร?
นักวิจัยย้ำถึงข้อเรียกร้องในการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม โดยมี 3 ข้อเรียกร้องฉุกเฉินที่ต้องจัดการในทันที คือ
1.ยกเลิกการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
2.เริ่มต้นการเก็บภาษีคาร์บอน
3.ฟื้นฟูระบบนิเวศ เช่น คาร์บอน ซิงค์ (carbon sinks) หรือ อ่างเก็บคาร์บอน และ พื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity hotspots)
นักวิจัยยังย้ำด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ควรรวมอยู่ในหลักสูตรการเรียนในโรงเรียนทั่วโลก เพื่อสร้างความตระหนักตั้งแต่วัยเด็ก และควรบอกถึงสาเหตุที่แท้จริง ที่ทำให้เกิดวิกฤติสภาพภูมิกาศ นั่นคือ “การที่มนุษย์ใช้ประโยชน์จากโลกใบนี้มากจนเกินไป”
ที่มา :แนวหน้า