วันนี้ (30 พ.ย. 58) เวลา 20.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับสูงของประมุขของรัฐและหัวหน้ารัฐบาลในระหว่างการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 21 ณ ห้อง Plénière Seine ศูนย์การประชุม Parc des Expositions Paris du Bourget กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยพลตรี วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญของถ้อยแถลงดังนี้
นายกรัฐมนตรีแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ความรุนแรงในกรุงปารีสเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน โดยให้กำลังใจกับทุกประเทศที่เผชิญเหตุรุนแรง และแสดงความเป็นหนึ่งเดียวที่จะร่วมต่อต้านการกระทำไร้มนุษยธรรมเช่นนี้
นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้เพื่อแสดงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของประเทศไทยที่จะมีส่วนร่วมแก้ปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและส่งผลต่อทุกชีวิตทั่วโลก ขอให้ทุกประเทศร่วมกันผลักดันให้การเจรจาความตกลงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับใหม่บรรลุผลที่สมดุล ครอบคลุม ยืดหยุ่น และปฏิบัติได้จริง โดยคำนึงถึงความแตกต่างของสภาพเศรษฐกิจ และความสามารถในการรับมือของแต่ละประเทศ รวมทั้งต้องเป็นความตกลงที่ช่วยส่งเสริมความก้าวหน้าให้กับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ทุกประเทศ
โดยเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ที่นครนิวยอร์ก ผู้นำแต่ละประเทศได้ร่วมรับรองวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ปี ค.ศ. 2030 ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ย้ำถึงการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม แต่ความพยายามร่วมกันของเราในเรื่องดังกล่าวจะไม่ประสบผล หากไม่สามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสร้างผลกระทบต่อทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา ที่เห็นได้ชัดคือ อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล ภัยแล้งที่ทำให้แหล่งน้ำลดลงและทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงน้ำสะอาด ภาคการเกษตรขาดน้ำเพาะปลูก ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร และการเกิดภัยพิบัติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก นายกรัฐมนตรีเรียกร้องให้ทุกประเทศร่วมมือกันตามกำลังความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือเหนือ-ใต้ในรูปแบบความช่วยเหลือทางการเงิน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการเสริมสร้างขีดความสามารถ การสร้างความต้านทาน และความร่วมมือใต้-ใต้
ทั้งนี้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นสมบัติของโลก ไม่ใช่ของประเทศใดประเทศหนึ่ง ดังนั้น ประชาคมโลกจึงมีหน้าที่รับผิดชอบร่วมกันที่ต้องช่วยดูแลรักษา โดยเฉพาะการพยายามดำเนินการเพื่อจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 หรือ 2 องศา ซึ่งต้องคำนึงถึงความแตกต่างของแต่ละประเทศ และต้องไม่ก่อให้เกิดภาระเพิ่มเติม หรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศด้วย
สำหรับประเทศไทย จะพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเราที่ร้อยละ 20 ถึง 25 ภายในปี ค.ศ. 2030 จากกรณีปกติ โดยได้ดำเนินการและรณรงค์ในหลาย ๆ ด้าน ที่สำคัญคือ การแก้ปัญหาขยะ การปรับระบบการขนส่งมวลชนจากระบบล้อเป็นระบบราง ให้มี Eco Car รถไฟฟ้า การรณรงค์ปลูกป่าในอาเซียน การมี Roadmap ของการลดหมอกควันให้เหลือร้อยละ 0 และที่สำคัญยิ่ง การดำเนินการพัฒนาที่มีความยั่งยืนอย่างแท้จริง ไทยจึงได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึง บนหลักของ “ความพอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกัน” เป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศมากว่า 5 ศตวรรษแล้ว เพื่อเอาชนะความเสี่ยงและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ จากทั้งภายในและภายนอกประเทศ
โดยในฐานะประธานกลุ่ม 77 ในปี 2559 นายกรัฐมนตรียืนยันว่า ประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะดำเนินการอย่างเต็มความสามารถเพื่อเป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างความแตกต่างของมุมมองและผลประโยชน์ และจะดำเนินการร่วมกับรัฐภาคีกลุ่มอื่นๆ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ: http://www.thaigov.go.th