กระแสพลังงานสะอาดมาแรงในยุคที่ "ภาวะโลกร้อน" ระอุขึ้น ขณะที่ "โดนัลด์ ทรัมป์" ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาประกาศ "ไม่เห็นด้วย" กับการผลักดันพลังงานทางเลือก และโลกร้อนเป็นเพียงเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์กุขึ้นมา ทั้งยังประกาศจะนำพลังงานแบบเก่าเช่นถ่านหินกลับมาใช้ แต่บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งยังเดินหน้าลงทุนด้านพลังงานสะอาดเพื่อหวังลดโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศที่โลกกำลังเผชิญ
ล่าสุด "บิลล์ เกตส์" ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ เข้าร่วมกองทุน "เบรกทรูว์ เอเนอร์ยี เวนเจอร์" (BEV) เพื่อลงทุนพลังงานสะอาดมูลค่าถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมด้วยมหาเศรษฐีอีกหลายราย เช่น "เจฟฟ์ เบโซส์" ผู้ก่อตั้ง "อเมซอน", "ริชาร์ด แบรนสัน" จากเวอร์จิ้น กรุ๊ป รวมถึง "แจ็ก หม่า" ซีอีโออาลีบาบา
กองทุนนี้เกิดขึ้นจากการตระหนักถึงปัญหาสภาพแวดล้อมโลก โดยที่ "บิลล์ เกตส์" นั่งตำแหน่งประธานกองทุน ประกาศจะลงทุนในบริษัทหรือเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ เพื่อที่จะช่วยลดก๊าซเรือนกระจกอย่างน้อยครึ่งจิกะตัน โดยจะมุ่งเน้นด้านนวัตกรรมทางไฟฟ้า การเดินทาง การเกษตร อุตสาหกรรม และสถาปัตยกรรม
"กองทุนควรจะเริ่มต้นจากการทำวิจัยเชิงสืบสวน เพื่อหาต้นตอปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ ขณะที่รัฐบาลสามารถจัดตั้งกองทุนเพื่องานวิจัยพื้นฐาน ส่วนภาคเอกชนควรจะลงทุนสำรองในอะไรที่มีความเสี่ยงมากกว่า ตั้งแต่ในระดับสตาร์ตอัพจนถึงขนาดใหญ่" บิลล์ เกตส์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกออกมาสนับสนุนพลังงานทางเลือก โดยในปี 2558 "แอปเปิล" ผู้ผลิตไอโฟน ได้รับยกย่องเป็นบริษัทอันดับหนึ่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจาก "กรีนพีซ" หลังจากแอปเปิลเดินหน้าสร้างแหล่งเก็บพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์จนสามารถขับเคลื่อน "ศูนย์ข้อมูล" (Data Center) ของตนเองด้วยพลังงานทดแทน ทั้งยังได้รับใบอนุญาตจากรัฐแคลิฟอร์เนียให้เป็นผู้จำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ จากที่ผลิตได้จนเกินความต้องการ
ด้าน "กูเกิล" ยักษ์เสิร์ชเอ็นจิ้นก็ไม่ยอมแพ้ ได้ออกมาประกาศความสำเร็จเมื่อต้น ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า สามารถดำเนินการจัดหาพลังงานทดแทนเพื่อรองรับการใช้งานทั้งในศูนย์ข้อมูลและสำนักงานให้ได้ 100% จึงส่งผลให้กูเกิลเป็นผู้ซื้อพลังงานสะอาดรายใหญ่ที่สุดในโลกถึง 2.6 จิกะวัตต์
เนื่องจากกูเกิลใช้พลังงานเยอะมากในการประกอบธุรกิจ ศูนย์ข้อมูล 13 แห่ง จากการส่งผ่านอัพโหลดข้อมูล และเสิร์ชนับล้านล้านครั้งทุกวินาที จึงมีการใช้ไฟฟ้ามากถึง 5.7 เทราวัตต์ต่อชั่วโมง มากเท่ากับการใช้ไฟฟ้าของซานฟรานซิสโกทั้งเมือง การหาพลังงานทางเลือก เช่น พลังงานลมและแสงอาทิตย์จึงเป็นสิ่งจำเป็น ขณะเดียวกันในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาพลังงานทางเลือกมีการปรับลดราคาลงกว่าครึ่ง ทำให้ลดค่าใช้จ่ายลงได้มาก อย่างไรก็ดี กูเกิลยอมรับว่ายังมีการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลอยู่บ้างแต่ก็ค่อย ๆ ลดน้อยลง
และอีกประเด็นสำคัญที่ทำให้บริษัทใหญ่หันมาลงทุนและใช้พลังงานทางเลือกเพิ่มขึ้น เนื่องจากมาตรการทางภาษีที่ทางรัฐบาลโอบามาเสนอให้กับบริษัทที่ลงทุนพลังงานสะอาด แต่เวลานี้ก็น่าจับตามองว่าการขึ้นมาของโดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อการพยายามขับเคลื่อนของภาคเอกชนในครั้งนี้
ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ : http://www.prachachat.net