การดำเนินการกระบวนการจัดการโลจิสติกส์ของธุรกิจยุคนี้ จะต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก เนื่องจากอุตสาหกรรมและธุรกิจมีการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นทุกปี มีการปล่อยของเสีย วัตถุอันตราย มวลสาร หรือสิ่งตกค้าง ๆ ออกสู่สภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นทางอากาศ ทางน้ำ ทางเสียง เป็นต้น อีกทั้งยังทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนได้รับผลกระทบอีกด้วย
จากการติดตามข่าวสารจะพบว่า ภาวะโลกร้อนส่งผลให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้น ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกมีการละลายเพิ่มมากขึ้น และปริมาณน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น พื้นที่ชายฝั่งถูกกัดเซาะ ฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลทำให้ผลผลิตทางการเกษตรไม่ได้ผลตามเป้าหมาย ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากขึ้น โดยทั่วโลกเริ่มหันมาให้ความสนใจเกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรมและธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งกลายเป็นข้อกำหนดทางการค้าและข้อกีดกันทางการค้าของธุรกิจและอุตสาหกรรมที่กำลังผลิตสินค้า บริการ และกระบวนการจัดการโลจิสติกส์
นอกจากนี้ ยังมีข้อเรียกร้องให้สินค้าที่ส่งออกไปขายต่างประเทศต้องแสดงรายการว่า เป็นสินค้าที่ผลิตมาจากประเทศใด รวมถึงตลอดวงจรชีวิตของสินค้านั้นมีการปล่อยก๊าซคาร์บอน หรือปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณเท่าใด ดังนั้น ธุรกิจและอุตสาหกรรมต่าง ๆ จะต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้สินค้าได้รับการยอมรับมากขึ้น และไม่ให้ถูกใช้เป็นข้ออ้างกีดกันทางการค้าได้ โดยเฉพาะเรื่องคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ปริมาณคาร์บอนที่มีอยู่ในสินค้า เพราะฉะนั้น สินค้าที่ติดตราคาร์บอนฟุตพริ้นท์จะได้รับความไว้วางใจในระดับนานาชาติ
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2558 ประเทศไทยจะพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง ร้อยละ 20-25 ภายในปี 2030 (2573) โดยลดการใช้พลังงานจากฟอสซิล และใช้พลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น Eco Car รถไฟฟ้า การจัดการขยะ การปลูกป่าอาเซียน โรดแมปการลดหมอกควันให้เหลือ ร้อยละ 0 ซึ่งที่ผ่านมา ในปี 2556 ประเทศไทยสามารถลดลงไปได้แล้วจากภาคพลังงานถึงประมาณ 14 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าจากตัวเลข 24 ล้านตัน ซึ่งลดได้แล้ว 14 ล้านตัน
ทั้งนี้ ภายหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน คาดว่า ในปี 2559 ธุรกิจไทยทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลาง-ย่อม จะเข้าไปลงทุนหรือขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่า กลุ่มอาหาร ก่อสร้าง สินค้าอุปโภคบริโภค พลาสติก ชิ้นส่วนยานยนต์และพลังงาน
สำหรับแนวทางการพัฒนาลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งควรได้รับการสนับสนุนจาก 3 ฝ่าย ดังนี้
1. ภาครัฐ ควรให้การสนับสนุนภาคธุรกิจในการทำรายงานการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และให้การสนับสนุนทางการเงินและภาษีสิ่งแวดล้อมให้แก่ผู้ประกอบการ อีกทั้งกระตุ้นภาคเอกชนให้เกิดความสนใจและให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น รวมทั้งสร้างองค์ความรู้ให้กับภาคประชาชน (ผู้บริโภค) ให้ได้รับรู้ในเรื่องนี้ถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมก็จะทำให้ผู้บริโภคมีภูมิคุ้มกันต่อการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภค
2. ภาคเอกชน ควรวางนโยบายในเรื่อง Green Logistics and Procurement, Low carbon Products เป็นต้น โดยพิจารณาตลอดวัฏจักรชีวิต ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การจัดจำหน่าย การใช้งาน และการจัดการของเสียหลังจากการใช้งาน โดยใช้หลักการแนวคิดของการประเมินวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment : LCA) รวมทั้งสร้างจิตสำนึกและให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้เกิดการลดละเลิกพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ต่อสิ่งแวดล้อม
3. ผู้บริโภค จะต้องมีจิตสำนึกโดยคำนึงถึงการซื้อสินค้า/บริการ ทั้งสินค้าอุปโภคและบริโภคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ว่า ผลิตภัณฑ์ที่ซื้อมานั้นมีการปล่อยคาร์บอนต่ำ เช่น อาหารสำเร็จรูป ทีวี เครื่องเสียง เครื่องเล่นดีวีดี โทรศัพท์ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า เครื่องล้างจาน และพัดลม เป็นต้น โดยเฉพาะในยุคโซเซียล มีเดีย ที่มีผู้ใช้สังคมออนไลน์ในการสื่อสาร เขียนหรือเล่าเรื่องราวประสบการณ์ต่อกันทั้งในรูปข้อความ เสียง วิดีโอ ส่งผลให้ผู้บริโภคคำนึงถึงการบริโภคที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและสังคมเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ดี การจะทำให้ทั้ง 3 ภาค เกิดการประสานและผสมผสานกันอย่างกลมกลืนได้นั้น นับว่าเป็นเรื่องยาก หากแต่ละฝ่ายดำเนินบทบาทของตนเองให้ดีที่สุด ก็อาจจะเกิดผลสัมฤทธิ์ในเวลาอันใกล้ โดยเฉพาะภาคเอกชนจะต้องตระหนักในเรื่องนี้เป็นอย่างมากว่า การดำเนินธุรกิจอย่าแค่หวังผลกำไรเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะไม่สามารถกระทำได้อีกแล้วในยุคนี้ จะต้องใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ปัญหาภาวะโลกร้อน ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งจะกลายเป็นข้อกำหนดและข้อบังคับทางการค้าไปแล้ว หากธุรกิจยังคงปล่อยปริมาณก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่ยังสูงอยู่ ในอนาคตแต่ละประเทศอาจจะต้องมีการออกกฎหมายมาบังคับใช้ ดังนั้น จึงควรเรียนรู้จากธุรกิจในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งจะมีการวางแผนแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ไว้อย่างมีประสิทธิภาพ มากกว่ารอให้ปัญหาเกิดขึ้นแล้ว จึงค่อยวางแผนแก้ไขปัญหานั้น
ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ http://www.energysavingmedia.com