อาจจะไม่ใช่ข่าวดีต้อนรับปีใหม่ แต่รายงานประจำปี 2017 เรื่องสถานการณ์ทะเลอาร์กติก (Arctic Research Program) โดยหน่วยงานด้านการพยากรณ์อากาศของสหรัฐ (National Oceanic and Atmospheric Administration: NOAA) ชี้ว่า ทะเลอาร์กติกมีอุณหภูมิสูงเป็นประวัติการณ์ เป็นสัญญาณเตือนว่าโลกได้เดินทางมาสู่ความเปลี่ยนแปลงขั้นสุด
อาจจะไม่ใช่ข่าวดีต้อนรับปีใหม่ แต่รายงานประจำปี 2017 เรื่องสถานการณ์ทะเลอาร์กติก (Arctic Research Program) โดยหน่วยงานด้านการพยากรณ์อากาศของสหรัฐ (National Oceanic and Atmospheric Administration: NOAA) ชี้ว่า ทะเลอาร์กติกมีอุณหภูมิสูงเป็นประวัติการณ์ เป็นสัญญาณเตือนว่าโลกได้เดินทางมาสู่ความเปลี่ยนแปลงขั้นสุด
รายงานฉบับนี้เลือกใช้คำว่า “unprecedented” หรือ “อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” ภายหลังจากการเก็บข้อมูลและรายงานผลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2006 กระทั่งถึงปี 2017 จึงได้จั่วหัวรายงานอย่างตรงไปตรงมาว่า “ทะเลอาร์กติกส่งสัญญาณว่าจะไม่มีวันกลับเข้าสู่อุณหภูมิเท่าเดิมอีกต่อไป”
ทั้งนี้ อุณหภูมิในแถบทะเลอาร์กติกเพิ่มขึ้นกว่าที่ควรจะเป็นถึง 20 องศาเซลเซียส และด้วยอัตราเร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบ 1,500 ปี ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าความเร็วจะค่อยเพิ่มขึ้นๆ
“กลไกอย่างหนึ่งของภูเขาน้ำแข็ง คือ การสะท้อนรังสีจากดวงอาทิตย์กลับสู่อวกาศ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า (น้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นจากการละลายของน้ำแข็ง) กลับดูดซับและเก็บกักความร้อนไว้ในระบบนิเวศแทน
“ชัดเจนว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงที่ควบคุมไม่ได้และอย่างไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และไม่ใช่แค่ชาวอเมริกันเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่มันจะส่งผลถึงสิ่งมีชีวิตทุกชนิด”
คือ คำเตือนของเจเรมี มาธีส หนึ่งในทีมสำรวจของ NOAA ที่เขียนไว้ในรายงานชิ้นนี้ และเปรียบว่า อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นของทะเลแถบอาร์กติก คือ “ตู้เย็นที่ประตูเปิดอ้าไว้” ความเย็นแผ่กระจายออกทั่วทั้งซีกโลกเหนือ ผลกระทบที่ตามมาจึงไม่ใช่แค่ทวีปอเมริกา แต่คือทั้งโลก
อย่างที่มาธีสอธิบาย ภูเขาน้ำแข็งซึ่งมีสีขาว หน้าที่หนึ่ง คือ เป็นเครื่องทำความเย็น ทำหน้าที่เสมือนกระจกสะท้อนรังสีจากแสงอาทิตย์กลับสู่อวกาศ ผล คือ ช่วยควบคุมอุณหภูมิมหาสมุทรบริเวณนั้น ฉะนั้น ผลกระทบขั้นแรกเมื่อน้ำแข็งละลายจึงทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สะสมมานานกว่าพันปีออกไป ลำดับถัดมาเมื่อน้ำแข็งละลายส่งผลให้น้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น น้ำทะเลซึ่งมีสีเข้มกว่า จะดูดซับความร้อนของดวงอาทิตย์ ทำให้อุณหภูมิน้ำในมหาสมุทรเพิ่มสูงขึ้น ความเปลี่ยนแปลงหลังจากนั้นก็จะค่อยส่งต่อไปยังระบบนิเวศอื่นเป็นโดมิโน่ เรียกได้ว่าเป็นการเผชิญหน้ากับกลไกย้อนกลับ (Feedback Mechanisms) หรือปรากฏการณ์ที่เมื่ออุณหภูมิของพื้นที่แห่งหนึ่งเปลี่ยน ก็จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอื่นไปด้วย ทั้งหมดจะเกิดขึ้นโดยที่มนุษย์ไม่ทันตั้งตัว และไม่มีโอกาสแก้ตัว
และนั่นขยายคำอธิบายของมาธีสที่ว่า เมื่อประตูของตู้เย็นโลกเปิดออก ผลกระทบจึงไม่ใช่คนที่อยู่ใน ทวีปอเมริกาเท่านั้น แต่ไปไกลถึงซีกโลกเหนือ กระทั่งคาบสมุทรอินเดีย และทวีปเอเชีย
นี่ไม่ใช่แค่การรายงานผลการศึกษาสภาพภูมิอากาศทั่วไป แต่นักวิจัยกลุ่มนี้ยังเรียกร้องต่อหน่วยงานต่างๆ ให้มีการเตรียมตัวส่งมอบข้อมูลทักษะที่จำเป็นเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงไปยังผู้คนที่อาศัยในขั้วโลกเหนือ
“รายงานฉบับนี้คือความพยายามที่จะสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจ และเป็นความพยายามที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การสื่อสารเพื่อแจ้งข่าวเป็นสิ่งจำเป็น ณ ขณะนี้ เพื่อร่วมมือแก้ไขวิกฤตต่างๆ ผ่านความร่วมมือหลายๆ ฝ่าย” โจเอล เคลมท์ (Joel Clement) นักวิทยาศาสตร์และที่ปรึกษาด้านนโยบาย ประธานร่วมของโครงการศึกษาภายใต้กระทรวงมหาดไทยสหรัฐกล่าว
ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ: https://greennews.agency