สิงคโปร์เตรียมนำเข้าไฟฟ้าจากเขื่อนลาวในฐานะโครงการทดลองนำร่องการค้าพลังงานข้ามแดน โดยจะส่งผ่านสายส่งในไทยและมาเลเซีย หวังนำเข้าไฟฟ้ามากถึง 100 เมกะวัตต์ และเป็นก้าวแรกสู่การเชื่อมโครงข่ายระบบไฟฟ้าอาเซียน (Asen Power Grid) อีกเหตุผลสำคัญ สิงคโปร์นับ “ไฟฟ้าจากเขื่อน” เป็น “พลังงานหมุนเวียน” ที่จะสามารถนำไปใช้คำนวณในฐานะแหล่งพลังงานที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนประเทศได้
ข้อตกลงบริษัทไฟฟ้าสิงคโปร์-การไฟฟ้าลาว
สื่อสิงคโปร์ The Straits Times โดย Goh Yan Han รายงานว่า สิงคโปร์จะเริ่มทดลองนำเข้าไฟฟ้าจากเขื่อนลาวผ่านประเทศไทยและมาเลเซีย ซึ่งเป็นการดำเนินการภายใต้ข้อตกลงระหว่าง บริษัทไฟฟ้าสิงคโปร์ Keppel Electric และการไฟฟ้าลาว (Electricite Du Laos (EDL) ที่แถลงในวันพุธที่ 15 ก.ย. 2564
“กรอบข้อตกลงระหว่างทั้งสองกิจการ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเชื่อมโยงระบบพลังงาน ลาว-ไทย-มาเลเซีย-สิงคโปร์ (Lao PDR-Thailand-Malaysia-Singapore Power Integration Project (LTMS-PIP) โครงการร่วมระหว่างรัฐบาลเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการค้าพลังงานข้ามแแดนจากลาวถึงสิงคโปร์
Keppel Electric เป็นบริษัทลูกของ Keppel Infrastructure Holdings และการไฟฟ้าลาว ตั้งเป้าที่จะร่วมสำรวจโอกาสที่จะส่งออกพลังงานจากแหล่ง “พลังงานหมุนเวียน” ไปสิงคโปร์ผ่านความหุ้นส่วนความร่วมมือนี้ โดยการไฟฟ้าลาวจะส่งออก และ Keppel จะนำเข้าไฟฟ้ามากถึง 100 เมกะวัตต์จากแหล่งผลิตไฟฟ้าเขื่อนในลาว โดยส่งผ่านระบบสายส่งข้ามแดนที่มีอยู่ในปัจจุบันของประเทศไทยและมาเลเซีย
การทดลองส่งพลังงานดังกล่าวคาดว่าจะเริ่มต้นเมื่อการจัดการด้านกฏระเบียบและกฏหมาย ด้านพาณิชย์ และด้านเทคนิคเสร็จสิ้นโดยรัฐบาลของทั้งสี่ประเทศสมาชิกอาเซียน ตามด้วยการเซ็นสัญญาซื้อขายยระหว่าง Keppel Electric กับการไฟฟ้าลาว
ทั้งหมดนี่น่าจะเกิดขึ้นได้ภายในปีหน้า 2022 (พ.ศ. 2565)” รายงานข่าวเปิดเผย
เพื่อบรรลุเป้าลดการปล่อยคาร์บอน
“ความเคลื่อนไหวเพื่อนำเข้าพลังงาน “หมุนเวียน” นี้มีความสำคัญต่อสิงคโปร์เพราะจะช่วยให้สิงคโปร์บรรลุเป้าหมายโลกร้อนของประเทศ หรือเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก (ตามข้อตกลงสากลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก UNFCCC) ด้วยปัจจุบัน สิงคโปร์ผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติมากกว่า 95% ซึ่งเป็นแหล่งพลังงงานฟอซซิลที่ปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศเมื่อผ่านกระบวนการเผาไหม้เพื่อผลิตไฟฟ้า รัฐบาลสิงคโปร์เปิดเผยว่าสิงคโปร์กำลังเผชิญความกดดันให้ต้องลดการปล่อยคาร์บอนจากภาคพลังงาน ด้วยสิงคโปร์ไม่มีพื้นที่สำหรับดำเนินโครงการโซลาร์ฟาร์มขนาดใหญ่ ทั้งยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ อีกด้วย
การนำเข้าไฟฟ้าจะช่วยให้สิงคโปร์จัดการกับแรงกดดันดังกล่าว ด้วยการเชื่อมต่อกับแหล่งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ พลังงานลม พลังงานคลื่น เป็นต้น
รัฐบางสิงคโปร์ยังได้ระบุอีกว่า ในระยะยาว สิงคโปร์อาจสามารถพัฒนาเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำในอนาคต เช่นเทคโนโลยีการใช้แหล่งเชื้อเพลิงไฮโดรเจน หรือเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอนจากอากาศ อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีดังกล่าวยังอยู่ในขึ้นการพัฒนาเบื้องต้นอยู่ในปัจจุบัน” The Straits Times รายงาน
ประกาศชัด “ก้าวสำคัญสู่ Asean Power Grid)
“ณ การประชุมคู่ขนานของสองวันการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนครั้งที่ 39 (the 39th Asean Ministers on Energy Meeting) ซึ่งเริ่มต้นในวันพุธที่ผ่านมา ดร.Tan See Leng ได้เป็นประธานการประชุมรัฐมนตรีลาว-ไทย-มาเลเซีย-สิงคโปร์ ครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นการประชุมร่วมระหว่างรัฐมนตรีพลังงงานจาก 4 ประเทศดังกล่าว
ผู้แทนทั้งสี่ประเทศได้ยืนยันอีกครั้งต่อข้อตกลง LTMS-PIP พร้อมระบุว่า นี่เป็นหลักไมล์สำคัญของความก้าวหน้าด้านการเชื่อมต่อระบบพลังงานอาเซียน
ดร. Tan กล่าวว่า เขารู้สึกอิ่มอกอิ่มใจที่จะเห็นประเทศสมาชิกอาเซียนเดินหน้าก้าวที่มีพลังนี้ไปด้วยกัน เพื่อเร่งให้การเชื่อมต่อระบบพลังงานในภูมิภาคนี้นำไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้นสำหรับทุกฝ่าย
เขากล่าวเพิ่มเติมว่า สิงคโปร์มุ่งมั่นและตระหนักยิ่งว่าการค้าพลังงานข้ามแดนของภูมิภาคผ่านโครงการ
LTMS-PIP จะเป็นก้าวสำคัญสู่วิสัยทัศน์ระบบกริดอาเซียน (Asean Power Grid)
“นี่จะช่วยสร้างตลาดข้ามเขตแดนประเทศเพื่อการค้าไฟฟ้า ส่งเสริมการลงทุน และอำนวยการการพัฒนาและการลดคาร์บอนของภูมิภาค” ดร.Tan กล่าว
การพัฒนาการค้าพลังงานข้ามแดนล่าสุดนี้ เกิดขึ้นหลังจากการประกาศในเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมาว่า สิงคโปร์จะนำเข้าไฟฟ้าจากมาเลเซียในฐานะโครงการทดลองนำร่องเป็นระยะเวลา 2 ปี การทดลองคาดว่าจะสามารถนำเข้าไฟฟ้าได้มากถึง 100 เมกะวัตต์ ซึ่งเท่ากับ 1.5% ของความต้องการไฟฟ้าช่วงพีค (ช่วงความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด) ของสิงคโปร์” The Straits Times รายงาน
ที่มา : www.greennews.com