facebook
icon telephoneCall Center02-141-9790
ค้นหา
icon switch languageภาษา
ขนาดตัวอักษร
การแสดงผล
icon line icon youtube icon tiktok
banner_list
  • 1575

อบก.ปลื้มแนวร่วมกว่า 300 รายร่วมลดโลกร้อน

20 ก.ย. 60

อบก. จัดงาน ร้อยดวงใจ ร่วมใจลดโลกร้อน เป็นปีที่ 5หนุนภาครัฐภาคเอกชนและท้องถิ่นไทย ลดก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง ปลื้ม ปี 60มีผู้ที่มีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศมากกว่า 300ราย สามารถลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 1.7ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

นางประเสริฐสุข จามรมาน ผู้อํานวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก หรือ อบก. เปิดเผยว่า การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถเชื่อมโยงสู่การปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตและการบริโภคให้เกิดความยั่งยืน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวมของประเทศ และขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ระบบเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ อบก. ตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าวจึงได้พัฒนาธุรกิจคาร์บอนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ผ่านการส่งเสริมศักยภาพให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสามารถจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์เพื่อให้ทราบปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรหรือผลิตภัณฑ์ และนำผลที่ได้ไปกำหนดแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และต่อยอดให้เกิดการซื้อขายคาร์บอนเครดิตโดยการทำกิจกรรมชดเชยคาร์บอน นอกจากนี้ ยังเชื่อมโยงไปสู่การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนด้วยนวัตกรรมฉลากคาร์บอน และสร้างศักยภาพองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรและขยายผลสู่การรายงานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกระดับเมือง เพื่อประเมินศักยภาพ กำหนดแนวทาง และดำเนินกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อก้าวไปสู่การเป็นเมืองลดคาร์บอน

ผลการดำเนินการในการอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายรับรอง และกิจกรรมที่อบก. ส่งเสริมสนับสนุน ในปี 2560มีดังนี้กิจกรรมชดเชยคาร์บอน เป็นการรับรองให้ใช้เครื่องหมาย Carbon Offset ซึ่งเป็นการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกบางส่วนและ Carbon Neutralซึ่งเป็นเครื่องหมายรับรองการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่ากับศูนย์ในปีงบประมาณ 2560มีผู้ที่ผ่านการรับรองประเภทองค์กร 12 บริษัท ประเภทผลิตภัณฑ์5ผลิตภัณฑ์ จาก3บริษัท ประเภทบุคคล 9คน และประเภทการจัดประชุม/สัมมนา และอีเว้นท์ จำนวน 2อีเว้นท์มีปริมาณการซื้อคาร์บอนเครดิตจากการทำกิจกรรมชดเชยคาร์บอนทั้งสิ้น 27,848ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งกระตุ้นให้เกิดตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจภายในประเทศโดยมีมูลค่าการซื้อขายกว่า 40,000 บาท

ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) และฉลากลดโลกร้อน หรือ ฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint Reduction) ซึ่งไทยเป็นประเทศแรกและประเทศเดียวในอาเซียนที่มีระบบการรับรองสอดคล้องตามหลักสากล ปีงบประมาณ 2560มีผลิตภัณฑ์ที่ได้ขึ้นทะเบียนทั้ง 2 ฉลากคาร์บอนรวมจำนวน427 ผลิตภัณฑ์สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 110,977 ตันคาร์บอนไดออกไซต์เทียบเท่า

คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทำให้องค์กรในภาคอุตสาหกรรม สามารถวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมของตนในรูปคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และนำผลที่ได้ไปใช้กำหนดแนวทางการบริหารจัดการ และดำเนินกิจกรรมเพื่อลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพปีงบประมาณ 2560 พบว่า มีองค์กรภาคอุตสาหกรรมดำเนินการและผ่านการรับรองจาก อบก. แล้ว จำนวน 35 องค์กร ทั้งนี้ องค์กรได้นำผลการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ไปใช้กำหนดแนวทางการจัดการและแผนงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรต่อไป

นอกจากนี้ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ระบบเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ อบก. ได้พัฒนากลไกและเครื่องมือในการจัดการก๊าซเรือนกระจก ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาโครงการต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Growth) โดยกลไกและเครื่องมือเหล่านี้ที่ อบก. พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย โครงการ “นำร่องระบบการซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจของประเทศไทย” (Thailand Voluntary Emission Trading Scheme หรือ ระบบ Thailand V-ETS) ในปีงบประมาณ 2560เป็นปีที่โรงงานนำร่องในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีดำเนินการทดสอบกฎการดำเนินงานและระบบ MRV ครบ 3 ปี และสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยผลิตได้ดีกว่าเป้าหมาย โดยลดได้ถึงร้อยละ 5.61 เมื่อเทียบกับปีฐาน จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายที่จะลดลงร้อยละ 2 ทั้งนี้3 บริษัทที่เข้าร่วมโครงการนำร่องประกอบด้วยบริษัท พีทีที โกลบอลเคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท ระยอง โอเลฟินส์ จำกัด บริษัทวีนิไทย จำกัด (มหาชน)

โครงการ “สนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก” (Low Emission Support Scheme: LESS)ซึ่งมีแนวคิดในการพัฒนารูปแบบกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจกพร้อมทั้งสร้างเครื่องมือการคำนวณปริมาณการลดหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจกที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนเพื่อความสะดวกต่อการพัฒนาโครงการ และส่งเสริมให้เกิดการสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก จาก “ผู้ให้” ในภาคองค์กรธุรกิจ ไปสู่ “ผู้รับ” ในชุมชน โดยในปีงบประมาณ 2558 มีผู้ขอการรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดและกักเก็บได้จากการดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการ LESS ในช่วงระยะเวลาการประเมินการลดก๊าซเรือนกระจกจนถึงปี 2560จำนวน5,162 กิจกรรม สามารถลดและดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 186 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

โครงการ“ลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย” (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER)หรือ โครงการ T-VER คือ หนึ่งในกลไกการลดก๊าซเรือนกระจกที่ อบก. พัฒนาขึ้นภายใต้ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจของไทย เพื่อสนับสนุนให้ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้พัฒนาโครงการรายเล็ก มีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศโดยความสมัครใจ ขณะที่ไม่ต้องผ่านขั้นตอนที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าโครงการลดก๊าซเรือนกระจกตามกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism: CDM)

นอกจากนี้โครงการ T-VER ยังมีผลประโยชน์ร่วม (Co-benefit) ของการลดก๊าซเรือนกระจกเช่นช่วยลดมลพิษเพิ่มความร่มรื่นและพื้นที่สีเขียวลดการใช้พลังงานและค่าไฟฟ้าสนับสนุนเศรษฐกิจในชุมชนและอื่นๆรวมถึงการส่งเสริมพัฒนาอาชีพใหม่ๆ มากขึ้นด้วย ในปีงบประมาณ 2560มีโครงการที่ขึ้นทะเบียนทั้งสิ้น26โครงการ โดยมีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลดได้รวมกัน746,150ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และมีโครงการที่ได้ผ่านการรับรองปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจก (TVERs) จำนวน14โครงการ คิดเป็นปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้415,064ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

โครงการ “การส่งเสริมการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและรายงานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกระดับเมือง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาสู่เมืองคาร์บอนต่ำ ”เป็นโครงการที่ส่งเสริมให้ เมือง/เทศบาล สามารถทราบถึงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในขอบเขตการปกครองและสนับสนุนให้เมืองมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจกระดับเมือง รวมถึงการประเมินศักยภาพของกิจกรรมและเทคโนโลยีในปัจจุบันของเมือง และเทคโนโลยีที่เหมาะสมและมีความเป็นไปได้ในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สอดคล้องกับบริบทของ “เมือง” โดยในปีงบประมาณ 2560มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจัดทำรายงานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกระดับเมืองแล้ว 28 แห่ง

อกจากนี้ อบก. ยังได้จัดให้มี “โครงการประกวดเทศบาลไทย ใส่ใจลดโลกร้อน” เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เคยเข้าร่วมโครงการการจัดทำรายงานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกระดับเมือง และการขยายผลการส่งเสริมการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อสนับสนุนการพัฒนาสู่เมืองคาร์บอนต่ำ ได้ดำเนินการบริหารจัดการและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่องด้วยการตรวจวัดค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และก้าวไปสู่การเป็นเมืองคาร์บอนต่ำ (low-carbon city) ได้ในที่สุด รวมทั้งเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีผลการปฏิบัติที่ดีด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

โครงการ “การพัฒนาแนวทางการรายงานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกระดับเมืองขนาดใหญ่และแผนการลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสม”ซึ่งเป็นแนวทางในการวางแผนการลดก๊าซเรือนกระจกที่มีความครอบคลุมในทุกภาคส่วนของเมือง ยกระดับ (Scale-up) การจัดการก๊าซเรือนกระจกในเมืองที่มีขนาดใหญ่ และสามารถนำผลการดำเนินงานดังกล่าวไปขยายผลยังเมืองต่างๆ เพื่อสนับสนุนประเทศไทยไปสู่การเป็นเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในปีงบประมาณ 2560 นี้ ได้ดำเนินโครงการร่วมกับ 2 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดสงขลา

โครงการ “ภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน”เป็นโครงการที่ อบก. พัฒนาร่วมกับ กรมป่าไม้ เพื่อส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและประชาชน สนับสนุนกิจกรรมของชุมชนในการบริหารจัดการป่าชุมชนอย่างยั่งยืน รวมทั้งเสริมสร้างศักยภาพของป่าชุมชนในการลดก๊าซเรือนกระจกและบรรลุประโยชน์ร่วมอื่นๆ บนพื้นฐานของการสร้างกระบวนการดำเนินงานภาครัฐ ร่วมกับภาคเอกชน และประชาชน ตลอดจนส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR)โดยใน ปีงบประมาณ 2560ได้ร่วมกับภาคเอกชน7แห่งที่ประสงค์จะให้การสนับสนุนการดำเนินโครงการดังกล่าวในพื้นที่ป่าชุมชนต้นแบบ จำนวน 7 แห่ง

ในอนาคต อบก. ก็จะยังคงมุ่งมั่นส่งเสริมให้เกิดการบริหารจัดการและลดก๊าซเรือนกระจกร่วมกับทุกภาคส่วนต่อไปเพื่อนำประเทศมุ่งสู่ “สังคมคาร์บอนต่ำ” และบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 20-25 ภายในปี พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030) เมื่อเทียบกับกรณีการดำเนินงานตามปกติ (BAU) ตามที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทยได้ประกาศไว้ในที่ประชุมสมัชชารัฐภาคีของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 21เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา


ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ: http://m.innnews.co.th