facebook
icon telephoneCall Center02-141-9790
ค้นหา
icon switch languageภาษา
ขนาดตัวอักษร
การแสดงผล
icon line icon youtube icon tiktok
banner_list
  • 564000000670801

ญี่ปุ่น เร่งเครื่องพลังงานสีเขียว! ตั้งเป้าปี 2050 ใช้พลังงานทดแทนเกินครึ่ง ขีดเส้นแบนรถใหม่เติมน้ำมัน ปี 2030

23 ม.ค. 64

"รถยนต์ใหม่ใช้น้ำมันเบนซิน จะหมดไปภายในปี 2030"

รอยเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น รายงานถึงกลยุทธ์การเติบโตสีเขียวของประเทศญี่ปุ่น ที่มีเป้าหมายสำคัญ แบนรถยนต์ใหม่ที่ใช้น้ำมันเบนซินภายในกลางทศวรรษที่ 2030 โดยเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) รวมถึงรถยนต์ไฮบริดและรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิง

ทางการญี่ปุ่น ได้พูดถึงแผนการในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ ด้วยการส่งเสริมชาวญี่ปุ่นใช้พลังงานสีเขียวเพื่อทดแทนน้ำมันจากฟอสซิล พร้อมการจัดสรรงบประมาณกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หวังให้แล้วเสร็จภายในปี ค.ศ.2050

กลยุทธ์พลังงานพลังงานสีเขียว (Green growth strategy) ชี้เป้าแรกๆ ไปที่อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ เพื่อให้บรรลุไปตามคำปฏิญาณของ นายโยชิฮิเดะ ซูกะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นที่กล่าวว่าจะลดการปล่อยกำซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ภายในกลางศตวรรษนี้ (ค.ศ.2050)

โดยรัฐบาลจะเสนอมาตราการสนับสนุนเงินทุนและจูงใจด้านภาษี ตั้งเป้าไว้ที่ 90 ล้านล้านเยน (เท่ากับ 870 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ต่อปีเพิ่มเติมเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในพลังงานสีเขียว ภายในปี 2030 และเพิ่มอีก 190 ล้านล้านเยน (เท่ากับ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อเร่งอัตราการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ทางรัฐบาลได้ตั้งเป้าที่จะลดราคาแบตเตอร์รี่รถยนต์ลงมากกว่าครึ่งหนึ่งของราคา หรือ 10,000 เยน ภายในปี 2030

นอกจากนี้ มีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนเชื้อเพลิงสำหรับเรือเดินทะเลไปเป็นเชื้อเพลิงที่สะอาดกว่าเช่นไฮโดรเจนและแอมโมเนียภายในปี 2050 และตั้งเป้าหมายที่จะมีบ้านและอาคารใหม่ทั้งหมดที่จะสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ภายในปี 2030

สำหรับกลยุทธพลังงานสีเขียวดังกล่าว วางเป้าหมายเอาไว้ว่าเน้นไปที่อุตสาหกรรม 14 ประเภท เช่น ฟาร์มลมนอกชายฝั่งทะเล และเชื้อเพลิงแอมโมเนีย เป็นต้น

นอกจากนั้น ยังตั้งเป้าหมายที่จะใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ภายในปี ค.ศ. 2050 โดยหลักๆจะเน้นไปที่พลังงานจากกังหันลม โดยตั้งใจจะเพิ่มอัตราการใช้พลังงานทดแทนเป็น 50% - 60% ภายในปี 2050 ซึ่งมากกว่าปัจจุบันที่ใช้อยู่เพียง 20% และลดการใช้พลังงานจากนิวเคลียร์อีกด้วย

ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์