ในงานเสวนา "Cities of the future : How to become eco-friendly cities?" โดยกระทรวงการต่างประเทศ "นายหลุยส์ พาลาซิโอ" สถาปนิกจากบริษัทออกแบบสหรัฐ Adrian Smith & Gordon Gill พูดถึงคอนเซ็ปต์ "ความยั่งยืน" ว่าเป็นอะไรที่ใหม่ แต่ก็เป็นปรัชญาที่ทุกคนต้องรับมาใช้หากต้องการให้โลกคงอยู่ตลอดไป โดยที่เขาพยายามโปรโมตให้คนรู้ว่าความยั่งยืนสำคัญอย่างไร จึงนำมาสู่การสร้างสิ่งก่อสร้างที่สามารถเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อม ลดการใช้พลังงาน และมีส่วนร่วมกับชีวิตประจำวันของมนุษย์ได้

นายพาลาซิโอ ชี้ว่า ปัจจุบันหลายเมืองสำคัญบนโลกมีประชากรหนาแน่นมาก คนมีชีวิตด้อยคุณภาพ การออกแบบเมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจะช่วยเหลือได้ในระยะยาวโดยเฉพาะย่านใจกลางเมือง เริ่มจาก "อาคารอัจฉริยะ" ที่ก่อสร้างโดยลดการใช้วัสดุ และสามารถลดการใช้พลังงานได้ในทุกฤดู ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ทดแทน มีพื้นที่สีเขียวสำหรับการเกษตร

และสำคัญคือจะใช้งานแบบ "มัลติฟังก์ชั่น" ไม่ใช่ใช้เพื่อทำธุรกิจ พักอาศัย หรือค้าขายอย่างเดียว แต่ทำได้ทุกอย่าง มีการเชื่อมคนเข้ากับธรรมชาติ มีพื้นที่ให้ผู้คนได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ทุกพื้นที่สามารถเดินได้ 100% คำนึงถึงระบบขนส่งมวลชนที่เข้าถึงและเชื่อมต่อกันทุกทางเพื่อลดความหนาแน่นภายในตัวเมือง

สำหรับกรุงเทพมหานครที่เป็นหนึ่งในเมืองที่หนาแน่นมาก นายพาลาซิโอกล่าวว่า ผังเมืองกรุงเทพฯมีความซับซ้อน แต่ก็เป็นปกติของเมืองที่เกิดมานับร้อยปีและมีการต่อเติมตลอด การที่จะปรับปรุงเมืองให้เป็นเมืองสีเขียวและยั่งยืน ต้องหาองค์ความรู้และการวิจัย และสำคัญสุด จะต้องช่วยกันสอนเด็ก ๆ ตั้งแต่ยังเล็กว่าความยั่งยืนสำคัญอย่างไร

ทางด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุวดี ทองสุกปลั่ง หรรษาสุขสิน อาจารย์สาขาวิชาการผังเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสริมว่า เมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจะไม่ใช่แค่เมืองที่มีอาคารอัจฉริยะเพียงอาคารเดียว แต่คือการเชื่อมขนาดสิ่งแวดล้อม ขนาดเมือง และขนาดของตึก เราต้องเชื่อมทั้งหมดนี้ไปพร้อมกัน คนไทยมักมองว่าการวางผังเมืองเป็นแค่การวาดแผนที่ไม่ช่วยอะไร แต่จริง ๆ แล้วมีความสำคัญมาก เพราะจะเป็นตัวที่ให้ภาพที่ครอบคลุม ตัวกำหนดภาพการขยายตัวในอนาคต

ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ : http://www.prachachat.net