facebook
icon telephoneCall Center02-141-9790
ค้นหา
icon switch languageภาษา
ขนาดตัวอักษร
การแสดงผล
icon line icon youtube icon tiktok
banner_list
  • 1321

เนสท์เล่ เปิดโรงงานน้ำดื่มที่สุราษฎร์ฯ เน้นดูแลสิ่งแวดล้อมแบบยั่งยืน

27 ก.พ. 60

กลุ่มธุรกิจน้ำดื่มเนสท์เล่ เปิดโรงงานแห่งใหม่ที่สุราษฎร์ธานี เพื่อเป็นศูนย์การผลิตและจัดจำหน่ายให้กับผู้บริโภคใน 14 จังหวัดภาคใต้ เน้นดูแลสิ่งแวดล้อมแบบยั่งยืนและสร้างอาชีพให้กับชุมชุนในพื้นที่

เมื่อวันที่ 27 ก.พ.60 นายลูก้า คิโอด้า ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจน้ำดื่ม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้ทุ่มงบประมาณกว่า 1,800 ล้านบาท ในการสร้างโรงงานผลิตน้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ แห่งใหม่ในภาคใต้ที่ อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อเป็นศูนย์การผลิตน้ำดื่มคุณภาพสูง

สำหรับโรงงานผลิตน้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ มีพื้นที่ 170,000 ตารางเมตร ประกอบด้วยโรงงานผลิต คลังสินค้า สำนักงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ โดยผลิตน้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ในขนาด 0.33 ลิตร 0.6 ลิตร และ 1.5 ลิตร โดยเราได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการน้ำที่สะท้อนพันธสัญญาระยะยาวของเนสท์เล่ในการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้โรงงานแห่งใหม่ยังใช้เทคโนโลยีอันทันสมัย VSEP ที่ลดปริมาณการใช้น้ำในกระบวนการผลิต และการเป็นศูนย์กระจายสินค้าสู่ภาคใต้จึงทำให้ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลดระยะทางในการจัดส่งได้กว่า 3 ล้านกิโลเมตรต่อปี จึงช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี เรายังได้สร้างประโยชน์สู่ชุมชนด้วยการสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับคนในท้องถิ่น ซึ่งเป็นการยกระดับเศรษฐกิจให้กับภาคใต้อีกด้วย

นายลูก้า กล่าวอีกว่า กลุ่มธุรกิจน้ำดื่มเนสท์เล่ยังมุ่งเน้นการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างคุณค่าร่วมกันในสังคมและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชาวบ้านในชุมชน เช่นเรื่องของการให้ความรู้ในเรื่องของการจัดการน้ำ และการรีไซเคิลขวดพลาสติกอีกด้วย

ทางด้านนางออดรีย์ เลียว ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวว่า เนสท์เล่ เรายึดมั่นในการเพิ่มพูนคุณภาพชีวิต เสริมสร้างสุขภาพดีสู่อนาคตโดยกว่า 20 ปีที่กลุ่มธุรกิจน้ำดื่มเนสท์เล่เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เราได้ผลิตน้ำดื่มคุณภาพสูงภายใต้มาตรฐานเนสท์เล่ระดับโลกเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยในการเป็นน้ำดื่มที่ทุกคนไว้วางใจ ที่ใส่ใจต่อตนเองและใส่ใจต่อผู้อื่น


ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ: http://www.thairath.co.th