ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ให้ข้อมูลพื้นฐานสำคัญ ๆ หลายประการเอาไว้ในเว็บไซต์ของสถาบันทางการเงินระหว่างประเทศสำคัญองค์กรนี้ ทั้งเป็นการสรุปรวมให้เห็นภาพของโลกทั้งใบในช่วงปีที่ผ่านมาและสำหรับเป็นฐานรากสำหรับการก้าวไปข้างหน้าในปีใหม่นี้และอนาคตอันใกล้
ข้อมูลบางอย่างแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มและทิศทางของโลกในอนาคตอย่างชัดเจนบางชิ้นแสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงบางด้านที่หลายคนอาจไม่เคยคิดหรือให้ความสนใจมาก่อน
ตัวอย่างเช่นเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ประชากรโลกในปี 2016 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปมีรวมกันทั้งสิ้น 7,500 ล้านคน แต่ธนาคารโลกหยิบตัวเลขจาก "โกลบอล มอนิเตอริง รีพอร์ทส์-จีเอ็มอาร์" มาแสดงไว้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างประชากรของแต่ละประเทศเป็นอย่างไร
รายงานของจีเอ็มอาร์ประจำปี 2015/2016 แสดงให้เห็นว่า ราว 40 ประเทศในทวีปแอฟริกามีประชากรกว่า 50% อายุต่ำกว่า 20 ปี ในทางตรงกันข้าม ในประเทศที่ร่ำรวยกว่าประเทศเหล่านั้นรวมกัน 30 ประเทศ ประชากรอายุต่ำกว่า 20 ปี มีไม่ถึง 20% ของประชากรทั้งหมด
ประชากรในวัย 20 ปีของวันนี้จะเป็นประชากรในวัยทำงานในช่วง 10-20 ปีข้างหน้า นั่นคือสิ่งที่จีเอ็มอาร์ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า โลกกำลังก้าวมาถึงจุดที่จะเกิด "การเปลี่ยนผ่านเชิงประชากร" ครั้งใหญ่ขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประเทศต่าง ๆ ในทุก ๆ องค์ประกอบของการพัฒนาทั้งหมด
หรือข้อมูลที่ระบุว่า ในจำนวนประชากรหนุ่มสาวทั้งหมดของโลกราว 1,800 ล้านคนนั้น มีมากถึง 1 ใน 3 ที่ไม่มีงานทำ หรือไม่ได้อยู่ในระหว่างการฝึกงาน หรืออยู่ในระบบการศึกษาใด ๆ ทั้งสิ้น
ข้อมูลนี้ทำให้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้าประชากรโลกจะมีคนหนุ่มสาวเดินตบเท้าเข้าสู่ตลาดแรงงานเพิ่มขึ้นอีก 1,000 ล้านคน กลายเป็นเรื่องชวนวิตกขึ้นมา เพราะธนาคารโลกระบุว่า มีเพียง 40% ของแรงงานหน้าใหม่เท่านั้นที่จะได้ทำงานในตำแหน่งงานต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้
คาดการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า สภาวการณ์การทำงานในอนาคตกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และที่สำคัญที่สุดก็คือระบบเศรษฐกิจในอนาคตจำเป็นจะต้องสร้าง "ตำแหน่งงานใหม่" ขึ้นมาอีก 600 ล้านตำแหน่ง ในช่วงระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า เพื่อให้สามารถรองรับแรงงานหนุ่มสาวใหม่ ๆ ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดแรงงานให้ได้ทั้งหมด
ข้อมูลของธนาคารโลกยังแสดงให้เห็นว่า ในปี 2030 หรืออีกเพียง 13 ปีถัดไป ประชากรโลกมากถึง 2 ใน 3 จะอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็น "เมือง"
แนวโน้มดังกล่าวอาจถือเป็นข่าวดีได้ หากคำนึงถึงว่า ทุกวันนี้ประชากรโลกเกินครึ่งหนึ่งใช้ชีวิตอยู่ในเมือง และเมืองต่าง ๆ เหล่านั้นมีศักยภาพสูงในการผลิตคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงกว่า 80% ของจีดีพีของโลกทั้งหมด
หรืออาจจะถือเป็นข่าวร้ายก็ได้อีกเช่นกัน เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า การที่ประชาชนกระจุกตัวอยู่ในเมือง ตำแหน่งงานก็ยัดเยียดกันอยู่ในเมือง รวมทั้งสินทรัพย์ทั้งหลายซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เมืองประสบความสำเร็จในเชิงผลิตภาพ แต่ในเวลาเดียวกันสิ่งเดียวกันนั้นก็ทำให้เมือง "เปราะบาง" ต่อสภาวะเครียดและช็อก ทั้งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ และนับวันยิ่งส่งผลกระทบต่อประชากรที่อยู่อาศัยในตัวเมืองเหล่านั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ
ยิ่งเมืองใหญ่มาก ยิ่งมีประชากรมากปัญหาก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว ทุกวันนี้เมืองใหญ่ที่สุดของโลก 12 เมือง มีประชากรในแต่ละเมืองเกินกว่า 15 ล้านคน ที่สำคัญก็คือในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา เมืองอย่างนิวเดลี, เซี่ยงไฮ้ หรือปักกิ่ง ขยายตัวใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่าตัว
คำถามสำคัญสำหรับอนาคตก็คือ ทำอย่างไรถึงจะคงศักยภาพของเมืองไว้ในขณะที่ยังสามารถอำนวยให้เกิดความปลอดภัย ความสุข และอนาคตที่รุ่งโรจน์ให้กับผู้อยู่อาศัยพร้อมกันไปด้วยได้
เทรนด์สำคัญอีกประการที่ธนาคารโลกโชว์ข้อมูลให้เห็นเอาไว้ก็คืออนาคตของโลกในส่วนที่จะถูกกำหนดด้วยความตกลงว่าด้วย "ภาวะโลกร้อนใหม่" ที่ทำกันขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี 2015 และจนถึงขณะนี้มีถึง 118 ประเทศจากจำนวนทั้งหมด 194 ประเทศ ลงนามรับรองความตกลงดังกล่าวแล้ว
นั่นหมายความว่า ความตกลงดังกล่าวจะกลายเป็นพันธะใหม่ในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อนของโลกในอนาคต
หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของความตกลงปารีสก็คือการส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปใช้ "พลังงานสะอาด" หรือพลังงานที่ก่อให้เกิดคาร์บอนต่ำ ที่น่ายินดีคือ ยิ่งนับวันความต้องการพลังงานที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ยิ่งเพิ่มมากขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา สืบเนื่องจากราคาต่อหน่วยลดต่ำลง
ในเดือนพฤษภาคม 2016 ที่ประเทศแซมเบีย ผู้ชนะการประมูลโครงการพัฒนาโรงงานพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ยืนยันว่า สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ในราคาที่ 6 เซนต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (ราว 2.16 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง) และจะลดลงอีกเป็นราว 4.7 เซนต์ในช่วงระยะเวลา 20 ปี ขณะที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ราคาลดลงอีกเหลือเพียง 3 เซนต์ ใกล้เคียงกับที่เม็กซิโกซึ่งอยู่ที่ 4.5 เซนต์
ข้อมูลของธนาคารโลกระบุว่า ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของพลังงานทางเลือกเช่นนี้ ทำให้ในหลาย ๆ ตลาดพลังงานทางเลือกกลายเป็นแหล่งพลังงานหลักมากขึ้นทุกที ถือเป็นข่าวดีปิดท้ายสำหรับโลกในอนาคตอันใกล้
ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ : http://www.prachachat.net