เมื่อปีก่อน เวียดนามประกาศแผนการพัฒนาโรงไฟฟ้าถ่านหินทั่วประเทศ เพื่อป้อนพลังงานในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของประเทศ พร้อมลดนำเข้าไฟฟ้าจากจีน เพราะความเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ทำให้ราคาไฟฟ้าที่นำเข้าปรับเพิ่มเป็น 5.1 เซนต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ในปี 2552 และ 6.08 เซนต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ในปี 2555
ความเคลื่อนไหวล่าสุด เวียดนามเตรียมยกเลิกแผนการผลักดันโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาดใหญ่ โดย นายเหงียน ติ๊น สุง นายกรัฐมนตรีของเวียดนามประกาศว่าจะยุติโครงการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่ทั้งหมด โดยจะมุ่งสู่การลงทุนระบบพลังงานสะอาดแทน
อีโค-บิสซิเนส รายงานว่า กลุ่มองค์กรสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศอย่าง "กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้" กล่าวแสดงความยินดีว่า "หนึ่งในชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้มาจากความพยายามอย่างไม่ย่อท้อของกลุ่ม องค์กรสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ในเวียดนาม" ในขณะที่องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรท้องถิ่น พยายามเรียกร้องให้รัฐบาลเวียดนามเตรียมการอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อลดการพึ่ง พิงโรงงานไฟฟ้าถ่านหิน
คำประกาศของนายกรัฐมนตรีเวียดนาม ที่แสดงความประสงค์ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญสำหรับการเริ่มใช้พลังงานสะอาด ยิ่งกว่านั้นยังมีการเร่งรัดการลงทุนในภาคพลังงานทดแทนอีกด้วย
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลเวียดนามได้กำหนดแผนการที่มุ่งมั่นสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินซึ่งจะมีกำลัง ผลิตไฟฟ้ารวมกันมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีแผนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด 44 จิกะวัตต์ (หรือเทียบเท่ากับโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาดใหญ่ 70 โรง) และอีก 17 จิกะวัตต์อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง
อารีฟ ฟิยานโต ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านพลังงาน เผยว่า "การตัดสินใจของรัฐบาลเวียดนามเป็นผลมาจากข้อตกลงในที่ประชุมสุดยอดการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กรุงปารีส เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีการลงนามข้อตกลงร่วมกันกับผู้แทนทั้ง 195 ชาติทั่วโลก"
ข้อตกลงดังกล่าวเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และป้องกันไม่ให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส จากระดับ "ยุคก่อนอุตสาหกรรม" โดยหลายประเทศมุ่งมั่นที่จะหันไปพึ่งพาพลังงานทดแทน เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
โดยนายเหงียน ติ๊น สุง ให้คำมั่นในระหว่างการประชุมที่กรุงปารีสว่า จะเดินหน้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 8% ภายในปี 2573 และจะยึดเป้าหมายที่ 25% ภายใต้การสนับสนุนของนานาชาติ
อย่างไรก็ตาม งวย ถิ คั้ญ กรรมการบริหาร จากกลุ่มสิ่งแวดล้อมท้องถิ่น "GreenID" กล่าวว่า "หากรัฐบาลมุ่งมั่นที่จะก้าวออกจากการพึ่งพิงพลังงานถ่านหิน เราหวังว่ารัฐบาลจะมีการทบทวนอย่างครอบคลุมถึงโรงงานถ่านหินทั้งหมด ทั้งโรงงานถ่านหินที่มีอยู่ในปัจจุบันและอยู่ระหว่างก่อสร้าง ต้องสอดคล้องกับเป้าหมายการควบคุมมลพิษและมาตรฐานด้านประสิทธิภาพที่สูงขึ้น และสอดรับกับวิถีการปฏิบัติของนานาชาติ"
ผลกระทบจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน ถูกพูดถึงอย่างมาก ตั้งแต่เดือนตุลาคมของปีก่อน กรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำงานร่วมกับกลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น เครือข่ายพันธมิตรเพื่อพลังงานยั่งยืนในเวียดนาม (VSEA) และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ชี้ชัดถึงผลกระทบต่อสุขภาพ โดยการศึกษาครั้งล่าสุดแสดงให้เห็นว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ยังใช้งานอยู่ใน เวียดนาม เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรมากถึง 4,300 คนในปี 2554 และมีแนวโน้มว่า จะเพิ่มขึ้นปีละ 25,000 คน หากรัฐบาลมีการอนุมัติให้ขยายโรงไฟฟ้าถ่านหินต่อเนื่อง
หรือกรณีเมื่อเดือนสิงหาคมปีก่อน ที่เกิดเหตุอุทกภัยครั้งเลวร้ายสุดในรอบ 40 ปี ใน จ.กว่างนิง ทางภาคเหนือของเวียดนาม ส่งผลให้เกิดการรั่วไหลของสารพิษจากเหมืองถ่านหิน ได้สร้างความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพของประชาชนในหมู่บ้านใกล้เคียง
"การเคลื่อนไหวของประชาชนที่กังวลต่อผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมจากเชื้อ เพลิงฟอสซิล ทำให้เกิดการปฏิวัติพลังงาน และมีความจำเป็นที่จะต้องขับเคลื่อนให้เร็วขึ้น แต่การประกาศนโยบายพลังงานดังกล่าวเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น" ฟิยานโตกล่าว
เห็นได้ชัดว่า ภูมิภาคเอเชียกำลังก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ เพราะไม่เพียงแต่เวียดนามที่กำลังลดละเลิกเสพติดถ่านหิน จีนหนึ่งในประเทศผู้บริโภคถ่านหินใหญ่ที่สุด มีแผนสั่งปิดเหมืองถ่านหินราว 4,300 แห่งทั่วประเทศ เพื่อมุ่งเป้าหมายลดมลพิษทางอากาศและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งยังห้ามในการสร้างเหมืองถ่านหินแห่งใหม่เป็นเวลา 3 ปี
ขณะเดียวกัน การนำเข้าถ่านหินในประเทศอินเดียยังมีแนวโน้มลดลง 15% ปีต่อปี (ช่วงระหว่างเดือน เม.ย.-ธ.ค.) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้านั้นด้วย
กระแสการปฏิวัติภาคพลังงานของเวียดนามเริ่มคึกคักและเป็นรูปธรรม รัฐบาลจึงคาดการณ์ว่า ภาคพลังงานจะเป็นแม่เหล็กดูดเม็ดเงินการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มากที่สุดในปีนี้ โดยขณะนี้มีการลงทุนอย่างน้อย 4.5 พันล้านดอลลาร์ สำหรับโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ 2 โรง ซึ่งสูงกว่าเม็ดเงินลงทุนในโครงการพลังงานและก๊าซของปีก่อน ที่ 2.8 พันล้านดอลลาร์โดย 1 ใน 2 โครงการคาดว่าจะเป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อน ลงทุนโดยบริษัทญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ด้วยมูลค่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งในไตรมาสแรกนี้ นักลงทุนจะยื่นใบขออนุญาตการลงทุนกำลังการผลิต 1,200 เมกะวัตต์ เพื่อดำเนินการก่อสร้างในพื้นที่จังหวัดแทงฮว้า ส่วนอีกโครงการซึ่งจะสร้างขึ้นที่จังหวัดนามดิ่ญ มีกำลังการผลิต 1,200 เมกะวัตต์เช่นกัน ลงทุนโดยบริษัทจากซาอุดีอาระเบียและเกาหลีใต้ คาดว่าจะได้รับใบอนุญาตสร้างโรงไฟฟ้าภายในปีนี้
เวียดนามวางแผนจะพัฒนาโรงไฟฟ้า 86 แห่งในระหว่างปี 2554-2563 โดยมีโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน 18 แห่งถูกกันไว้ให้กับนักลงทุนต่างชาติ จนถึงขณะนี้มี 6 แห่งจาก 18 แห่งได้รับใบอนุญาตก่อสร้างโรงไฟฟ้าไปแล้ว
การวางแผนด้านพลังงานอย่างบูรณาการไม่เพียงแต่จะช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้อย่างทั่ว ถึงแล้ว ยังจะหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามให้บรรลุตามเป้าหมาย ซึ่งนานาชาติยังประเมินว่า อนาคตเศรษฐกิจเวียดนามมีโอกาสสูงที่จะขยายตัวในระดับต้น ๆ ของอาเซียน
ที่มาของบทความและรูปภาพประกอบ: http://www.prachachat.net