ทำไมปัญหาโลกร้อน? จึงเป็นสิ่งที่ชาวอาเซียน และทุก ๆ คนทั่วโลก ไม่ควรนิ่งนอนใจ เมื่อโลกร้อนขึ้น สิ่งที่ตามมา คือ ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ก็จะทำให้เกิดน้ำท่วมบ้าง บางปีก็เกิดภัยแล้งหนัก ๆ เหมือนในปีนี้ที่หลาย ๆ ประเทศของอาเซียนเผชิญกันมาแล้ว ไม่ว่าจะโลกร้อน ภัยแล้ง หรือน้ำท่วม ผลกระทบที่ส่งตรงมาถึงผู้บริโภคอย่างเรา ๆ คือ ราคาสินค้าเกษตร โภคภัณฑ์ ปศุสัตว์ ประมงนั้นสูงขึ้นหมด เป็นสิ่งที่กระทบต่อความมั่นคงทางอาหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นเอง
เป็นที่ทราบกันดีว่า ทุกภูมิภาคทั่วโลก กำลังเผชิญกับสภาวะโลกร้อน และสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างสุดขั้ว ซึ่งเกิดบ่อย และสาหัสขึ้น อีกทั้งยังยากต่อการคาดเดากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยพื้นที่ที่จะสัมผัสถึงผลกระทบนี้ได้โดยตรง มักจะอยู่ในเขตร้อน หรือใกล้เขตร้อน ดังนั้นประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ จึงมีความอ่อนไหวมากที่สุด
ปีนี้อาเซียนประสบปัญหาภัยแล้งรุนแรงกว่าทุก ๆ ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น ทำให้สภาพอากาศแปรปรวน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กระทบสินค้าภาคการเกษตร และประมงชายฝั่งพื้นบ้าน ที่มีวิถีการผลิตเชื่อมโยงกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติค่อนข้างมาก โดยปัญหาภัยแล้งกระทบต่อปริมาณทั้งผลผลิตข้าว กาแฟ ปาล์มน้ำมัน และยางพารา ของไทย เวียดนาม เมียนมา และกัมพูชา
ผลกระทบจากปัญหาโลกร้อน ไม่ได้กระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร และการประมงที่อยู่ในชนบทเท่านั้น เพราะสิ่งที่ตามมา คือ ราคาผลผลิตสินค้าเกษตรและประมง ที่ขยับสูงขึ้น จึงเป็นสิ่งที่กระทบมาถึงผู้บริโภคทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งต้องยอมรับว่า เกษตรกรรม ประมง และปศุสัตว์ คือ ระบบการผลิตแก่มนุษย์ หากสิ่งเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากปัญหาสิ่งแวดล้อมบ่อย ๆ ย่อมเป็นสิ่งที่สั่นคลอนความมั่นคงทางอาหาร
องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO ออกมาเตือนว่า ราคาอาหารของโลก ไม่มีทีท่าว่าจะลดลง แต่กลับจะมีราคาสูงขึ้น โดยคาดว่า ราคาธัญพืช อย่างข้าวโพด ข้าวสาลี และข้าว มีแนวโน้มจะสูงขึ้น กว่า 1 ถึง 2 เท่าตัวภายในปี 2573 ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในสัดส่วนเกือบ ๆ ครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
ที่มาของบทความ http://www.krobkruakao.com
ที่มาของรูปภาพประกอบ http://www.munjeed.com